ตลาดเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์ชูธงรบ พลิกฟื้นยอดขายรับเทศกาลซัมเมอร์

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ตลาดเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์ชูธงรบ พลิกฟื้นยอดขายรับเทศกาลซัมเมอร์

Date Time: 16 เม.ย. 2564 05:15 น.

Summary

  • ตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีความเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักรับฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขายดีที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ผู้ประกอบการต่างมีความคาดหวังว่าจะเป็นปีที่ดี

Latest

คาราบาวแดง ตั้งเป้าเพิ่มแชร์ 3% ทะยานสู่แชมป์ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ผนึกไทยรัฐ กรุ๊ป ปีที่ 4 ลุยแคมเปญใหญ่

ตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีความเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักรับฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขายดีที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ผู้ประกอบการต่างมีความคาดหวังว่าจะเป็นปีที่ดี ยอดขายโดยรวมฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ร้านอาหารถูกปิดตัวลงในช่วงล็อกดาวน์ รวมไปถึงการระวังการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ในปี 2563 ตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีมูลค่าตลาดราว 145,515 ล้านบาท ติดลบลงถึง 6.4% โดยตลาดน้ำอัดลมมีส่วนแบ่งสูงที่สุดที่ 38% มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท อันดับสองตลาดน้ำดื่มมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ตามด้วยเครื่องดื่มชูกำลังกว่า 20,000 ล้านบาท ชาพร้อมดื่มมูลค่า 11,000 ล้านบาทและเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์กว่า 7,000 ล้านบาท

เนื่องด้วยสภาพอากาศในประเทศไทยร้อนอบอ้าว ดังนั้นสินค้าเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่นจึงได้รับความนิยมมาต่อเนื่อง รวมทั้งในปีนี้ แต่ตัวสินค้าที่ได้รับความนิยมในปีนี้และมีความโดดเด่น มีผู้ประกอบการกระโดดร่วมกระตุ้นตลาดกันมากที่สุดก็คือเครื่องดื่มดับกระหายเพื่อสุขภาพ

ผู้ผลิตน้ำอัดลมเร่งเครื่องเครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล

จากพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้หันมาใส่ใจในสุขภาพกันมาก นิยมออกกำลังกาย หาสินค้าเพื่อสุขภาพเพื่อบำรุงร่างกายหรือปกป้องให้ห่างไกลจากโรค เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลก ขณะเดียวกันนโยบายจากภาครัฐก็คือการเก็บภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม ได้บีบบังคับให้ผู้ประกอบการได้เร่งปรับสูตรเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลหรือเครื่องดื่มหวานน้อยกันมากขึ้น

ด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพทำให้บริษัทผู้ผลิตน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ต้องปรับตัวปรับพอร์ตสินค้าเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลมากขึ้น โดยสัดส่วนยอดขายในช่วงที่ผ่านมาสำหรับเครื่องดื่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนถึง 8% จากเดิม 3-4% ของยอดขายน้ำอัดลมโดยรวม

จากการเริ่มต้นของผู้ผลิตน้ำอัดลม “โคคา โคล่า” ได้แนะนำ โค้ก ซีโร่ ขยายพอร์ตเป็น Zero Sugar ซีโร่ น้ำตาล 0% เป็นเครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ จนมาถึง “โค้ก สูตรไม่มีน้ำตาล กลิ่นออร์เรนจ์” ไม่พูดถึงคำว่า “ซีโร่” อีกต่อไป แต่ได้ระบุถึงความเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลมไม่หยุดนิ่งในการแสวงหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ไม่เพียงช่วยเติมความสดชื่น แต่ต้องมีรสชาติดี และตอบรับกับกระแสการดูแลสุขภาพที่ยังมาแรงอย่างต่อเนื่อง

ทางด้านเป๊ปซี่ แมกซ์ เครื่องดื่มน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล 0 แคลอรี ได้ปรับเปลี่ยนชื่อเป็น “เป๊ปซี่ แมกซ์ เทสต์” โดยยังคงสูตรและรสชาติเดิม เอาใจผู้บริโภคที่ใส่ใจกับสุขภาพควบคุมเรื่องน้ำตาล แต่ยังต้องการเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น กลิ่นราสเบอร์รี และกลิ่นครีมโซดา

ส่วนค่ายเสริมสุข กับ “เอส ฟรี” น้ำอัดลมไร้น้ำตาล ไร้แคลอรี ได้ขยายพอร์ตเอสเพลย์ น้ำอัดลมใหม่เข้าสู่ตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ เพิ่มวิตามินบี 6 และบี 12 สูง มีคุณประโยชน์ในการช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง อีกทั้งยังมีน้ำตาลน้อย ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพ ขณะเดียวกันเอสเพลย์ยังนำเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ เพื่อตอกย้ำถึงภาพลักษณ์การเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพยิ่งขึ้น

ตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์แข่งดุเดือด

เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ (Functional Drink) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้ผลดีต่อสุขภาพมากกว่าเครื่องดื่มทั่วไปด้วยการเติมสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งมักแบ่งออกย่อยเป็นเซ็กเมนต์คือ

1.เสริมสร้างสุขภาพ ความสวยงาม ต่อต้านอนุมูลอิสระ

2.ชดเชยพลังที่สูญเสียไป

3.ช่วยเพิ่มพลังงาน เสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายด้วยการผสมสารอาหาร วิตามิน กรดอะมิโน

และ 4.ประโยชน์ทางการแพทย์ ตั้งแต่การบำรุงสมอง ย่อยอาหารดีทอกซ์

นับเป็นตลาดเครื่องดื่มที่สร้างสีสันและการแข่งขันในตลาดอย่างรุนแรงในปีนี้จากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายเล็กที่มองกันเห็นโอกาสการทำตลาดด้วยการชูการเป็นเครื่องดื่มที่ใส่ใจในสุขภาพของผู้บริโภคสอดรับกับกระแสในปัจจุบัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มวิตามินซีที่แตกไลน์ออกมารับกระแสการดูแลสุขภาพในยุคโควิด นำประโยชน์ของวิตามินซีเป็นส่วนประกอบสำคัญด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย บรรเทาอาการหวัด ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องความสวยความงาม ผิวพรรณสดใส ราคาไม่สูงมากนักดื่มได้ทุกวัน

ในปัจจุบันหากจะเปิดตู้แช่ดูในร้านค้าทั่วไป หรือโมเดิร์นเทรดทั้งหลายจะเห็นเครื่องดื่มนี้วางจำหน่ายหลากหลายแบรนด์จนเลือกไม่ถูก เป็นเครื่องดื่ม วิตามินซี 200% เป็นเครื่องดื่มที่ระบุว่ามีปริมาณวิตามินซีต่อขวดเท่ากับ 120 มิลลิกรัม หรือคิดเป็น 2 เท่า หรือ 200% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ซึ่งปริมาณวิตามินซีที่แนะนำขั้นต่ำต่อวันก็คือ 60 มิลลิกรัม (อ้างอิงจากค่า Thai RDI ซึ่งเป็นค่าปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป)

อย่างไรก็ตาม วิตามินซีขนาด 120 มิลลิกรัม/วัน เป็นปริมาณที่ร่างกายได้รับยังไม่มากพอที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้ จากงานวิจัยระบุว่าขนาดวิตามินซีสำหรับเสริมภูมิคุ้มกัน ต้องรับประทานถึงวันละ 1,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวันและประโยชน์ที่ร่างกายได้รับอาจจะไม่คุ้มเสียเท่าไหร่ เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้มักมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง และควรพิจารณาดูข้อมูลเครื่องดื่มการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลเพิ่มเติมด้วย

สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มวิตามินซี 200 มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกมากมายจากการใส่ส่วนผสมวิตามินที่หลากหลาย รวมไปถึงเติมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จากผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่เช่น C-vitt จากค่าย “โอสถสภา” วางจำหน่ายมาเเล้ว 8 ปี โปรโมตด้วยจุดเด่นการพัฒนามาจากแบรนด์ญี่ปุ่น, แบรนด์ “ไฮ่” จากกลุ่ม TCP, แบรนด์ VITADAY จากเจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ, แบรนด์ Woody C+ Lock รวมไปถึงสก็อต เอบีซี ดริ้งค์ และอีกนับสิบแบรนด์ที่กำลังเร่งโปรโมตเพื่อเร่งยอดขายในช่วงหน้าร้อนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ประกอบการได้ขยายไลน์นำไปเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ

ทางด้านบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป ที่มีเป้าหมายสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดกับกลยุทธ์ S Curve ด้วยพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกับตลาดแมสก์ เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ในตลาดเครื่องดื่ม ฟังก์ชันนอล ดริงก์ แบรนด์ “CAMU C” เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมคามู คามู วิตามินซีสูง 200% และวิตามินบี 12 สูง โดยทุ่มงบการตลาดมากถึง 300 ล้านบาท ดึงซุปเปอร์สตาร์สุดฮอต “คิม ซู ฮยอน” นักแสดงหนุ่มชาวเกาหลีใต้แถวหน้าของวงการ นั่งแท่นพรีเซนเตอร์ เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายครบทุกช่องทาง

ตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินเติบโตสูง

น้ำดื่มผสมวิตามินเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงจากเหตุผลการดูแลสุขภาพ เรียกได้ว่าเติบโตไม่หยุดจนต้องแยกออกมาเป็นเซ็กเมนต์ใหม่จากตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์กับมูลค่าการตลาดพุ่งสูงถึง 3,500 ล้านบาท หลังจากกลุ่มโรงพยาบาลยันฮี ผู้บุกเบิกตลาดน้ำดื่มวิตามิน หลังจากพบว่าการจ่ายวิตามินให้ผู้ป่วยหลังผ่าตัดมักไม่ค่อยยอมกินเพราะวิตามินมีเม็ดขนาดใหญ่ จึงคิดค้นน้ำดื่มผสมวิตามินบีเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็ว จนขยายไปทำตลาดแมสก์ขยายช่องทางจำหน่ายทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้เป็นตัวเร่งให้ตลาดเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ปัจจุบันยันฮีวิตามินวอเตอร์วางจำหน่ายอยู่ 2 ชนิด คือ 1.ยันฮีวิตามินวอเตอร์ ผสมวิตามินบี ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง 2.วิตามิน ซี วอเตอร์ผสมวิตามินซี ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวลือที่ว่าน้ำยันฮีวิตามินซี ไม่มีวิตามินตามฉลาก จนต้องออกมาสร้างความเชื่อมั่นยืนยันคุณภาพกระแสข่าวที่ว่าน้ำยันฮีวิตามินซี ไม่มีวิตามินตามฉลาก

สิ้นปี 2563 ที่ผ่านมา น้ำยันฮี วิตามินทำยอดขายได้ 1,200 ล้านบาท และในปี 2564 ถึงปี 2565 มีความเชื่อมั่นอย่างสูงว่า จะสามารถสร้างยอดขายได้ดับเบิลที่ 2,400-4,000 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 50% ของตลาดน้ำดื่มที่มีมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท

ยังผลให้ผู้ประกอบการเครื่องดื่มหันมาโหมตลาด โดยเฉพาะแบรนด์ “อิชิตัน” มองว่าเป็นโอกาสทองในรอบสิบปีที่จะบุกตลาดสร้างยอดขาย ในตลาดน้ำดื่มผสมวิตามิน ซี 200 รวมถึงวิตามินอี เป็นส่วนผสม และเครื่องดื่มน้ำด่าง 8.5 จับกลุ่มเป้าหมาย คนกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีความเครียดและต้องการความเร่งรีบ ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดซึ่งการดื่มน้ำด่างจะช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกายได้

พร้อมกับมองโอกาสของตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินว่าอีก 3 ปีข้างหน้า ตลาดนี้ยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีเครื่องดื่มใหม่ๆมาทดแทนไม่นับรวมกับผู้ผลิตรายใหญ่อีกหลายแบรนด์ที่ไม่ยอมตกกระแส

สองค่ายยักษ์เดินหน้าฟื้นเครื่องดื่มชาเขียว

ตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดชาเขียวมากกว่า 80-90% ที่เหลือเป็นชาดำกับชาอู่หลงที่คาดว่ามีสัดส่วนเพียง 1-2% เท่านั้น เพราะมีผู้เล่นเพียง 2 รายใหญ่เท่านั้นในตลาดเวลานี้ และก็แทบจะไม่ได้ทำการตลาดมากนัก

ที่ผ่านมาตลาดชาโดยเฉพาะชาเชียวมักจะเติบโตจากการทำโปรโมชันกระตุ้นเป็นหลักไม่ได้เกิดจากความต้องการที่แท้จริง จากที่เคยเฟื่องฟูตลาดเติบโตไปถึงจุดสูงสุดถึง 16,000 ล้านบาทในปี 2557 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นตลาดเริ่มถดถอยลงจนปีที่ผ่านมาลดลงเหลือราว 11,000 ล้านบาท

“โออิชิ” ระบุว่ายังคงเป็นผู้นำตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม ส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 48.4% “โออิชิ พลัส ซี” ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็สามารถเจาะกระแสการตื่นตัวเรื่องสุขภาพได้เป็นอย่างดี รวมทั้ง “โออิชิ โกลด์ เก็นไมฉะ วิตามินบีสูง” เครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่มพร้อมวิตามินบีสูงรุกตลาดพรีเมียม

ส่วน “อิชิตัน” นอกจากเครื่องดื่มชาเขียวครบไลน์แล้ว ได้สร้างความแปลกใหม่ “อิชิตัน พริกเกลือ เดอะ ซีรีส์” ชาเขียวพร้อมดื่ม 2 รสชาติใหม่ “มะขามไฟเอ้อ” และ “สับปะรดธันเด้อ” แซ่บจี๊ดจ๊าดด้วยการจับคู่ 2 ความแตกต่างที่ลงตัว ได้แก่ ชาเขียว และผลไม้พริกเกลือยอดฮิตอย่างมะขามและสับปะรดรับเฉพาะเทศกาลฤดูร้อนนี้

ขณะเดียวกันได้เดินหน้าแคมเปญ เครื่องดื่มชาพร้อมดื่มผสมสมุนไพร “เย็นเย็น” ผ่านแคมเปญมิวสิกมาร์เก็ตติ้งเจาะกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ ร่วมคลายร้อนในช่วงซัมเมอร์นี้

ด้านบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด นำชาอู่หลงแบรนด์ทีพลัสออกมาทำตลาดอีกครั้งกับการมองเห็นโอกาสทางการตลาดกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มองหาชาพร้อมดื่มน้ำตาลน้อย/ไม่มีน้ำตาลมากถึง 43% และต้องการชาที่ช่วยเรื่องควบคุมน้ำหนัก 41% ขณะที่ตลาดชาพร้อมดื่มในกลุ่มน้ำตาลน้อย/ไม่มีน้ำตาล เมื่อปี 2560 มีสัดส่วนเพียง 4% แต่เพิ่มเป็น 8.8% เมื่อปีที่ผ่านมา

ในปีนี้เครื่องดื่มในทุกเซ็กเมนต์ทุกค่ายจะพูดถึงการเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ทำร้ายร่างกายตอบรับกระแสพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้ รวมไปถึงการปรับตัวรับนโยบายเก็บภาษีน้ำตาลของรัฐบาลที่ต้องการดูแลสุขภาพของคนไทยด้วย

แต่กระแสที่มาแรงทุกๆค่ายพูดถึงก็คือเครื่องดื่มจาก “กัญชง-กัญชา” รอดูความชัดเจนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ถึงการนำสารสกัดมาใส่เป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม ซึ่งอาจจะได้เห็นสีสัน ความคึกคักของเครื่องดื่มกัญชง–กัญชาได้ในปลายปีนี้.

ทีมเศรษฐกิจ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ