ปลูก “กัญชง” ป้อนอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร 4 แห่ง เพื่อร่วมมือส่งเสริมผลิตกัญชงโดยสถาบันเกษตรกรว่า ปัจจุบันมีความต้องการกัญชงเพื่อป้อนอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และน้ำมันเมล็ดกัญชง อาหารสัตว์ ฯลฯ ดังนั้น กัญชงจึงเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ แต่ไทยยังไม่มีการส่งเสริมการปลูกมาก่อน เพราะติดเงื่อนไขทางกฎหมายที่ระบุว่าเป็นยาเสพติดแต่ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ปลดล็อกแล้ว ทำให้หลายอุตสาหกรรมเริ่มนำชิ้นส่วนกัญชงมาใช้แล้ว กรมจึงเตรียมทำตลาดกลางกัญชาและกัญชงของสหกรณ์ เพื่อเป็นผู้กำหนดระบบการซื้อขายตามกลไกของตลาด

“เป็นครั้งแรกที่ไทยจะส่งเสริมการปลูก จึงควรนำร่องในสหกรณ์ที่มีความเหมาะสม เช่น ในเชิงพื้นที่ และบางสหกรณ์เคยอยู่ในโครงการปลูกกัญชาทางการแพทย์ มีสหกรณ์ 4 แห่งมาร่วมหารือ คือ สหกรณ์การเกษตรคูเมือง จำกัด จ.บุรีรัมย์, สหกรณ์การเกษตรปักธงชัย จำกัด สหกรณ์การเกษตรด่านขุนทด จำกัด จ.นครราชสีมา และสหกรณ์การเกษตรลานสัก จำกัด จ.อุทัยธานี โดยผู้จัดการสหกรณ์จะประชุมกับสมาชิกที่ประสงค์จะเข้าโครงการ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในอนาคตหากสหกรณ์นำร่องประสบผลสำเร็จ ก็จะขยายไปยังสถาบันการเกษตรอื่นๆต่อไป”

ด้านนายพิเชษฐ์ กล่าวว่า กรมจะเป็นพี่เลี้ยงให้สหกรณ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนที่ เพื่อชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ใดมีศักยภาพในการปลูก ซึ่งจะใช้ลักษณะดิน อากาศ ปริมาณน้ำฝน เป็นเกณฑ์พิจารณา ส่วนมากเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ปลูกข้าวโพด คาดว่าปลายปี 64 เมื่อผลผลิตชุดแรกออกแล้ว จะขยายการส่งเสริมการปลูกให้มากขึ้น เพื่อป้อนผลผลิตเข้าสู่อุตสาหกรรม โดยเบื้องต้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง แจ้งว่าต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ปัจจุบันราคาเมล็ดกัญชง กิโลกรัม (กก.) ละ 5,000 บาท โดย 1 กก.มี 40,000-50,000 เมล็ด ส่วนต้นทุนการผลิต กรณีผลิตเป็นเมล็ดจะอยู่ที่ 8,242 บาท/ไร่ รายได้ 26,250 บาท/ไร่ กำไร 18,007 บาท/ไร่ สำหรับต้นทุนต้นสด 9,028 บาท/ไร่ รายได้ 22,500 บาท/ไร่ กำไร 12,471 บาท/ไร่ ระยะเวลาการผลิต 180 วัน “สหกรณ์ 4 แห่งสนใจเข้าร่วมโครงการ และต้องการเงินทุนดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) หรือกองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.)”.