นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการกำหนดนโยบาย Made in Thailand ที่ได้ออกกฎกระทรวงการคลัง เรื่องการกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 ด้วยการกำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตภายในประเทศขั้นต่ำ 60% ของวัสดุที่ใช้ยกเว้นเหล็กที่ไม่น้อยกว่า 90% ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.2563 คาดว่าจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยและทำให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะวิสาหกิจเอสเอ็มอีเข้มแข็งขึ้นเพราะแต่ละปีหน่วยงานรัฐทั่วประเทศ จะมีงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง 1.77 ล้านล้านบาท
“ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้ทำหนังสือไปยังส่วนราชการทุกหน่วยงานแล้ว หลังจากนี้ก็จะได้ทยอยออกทีโออาร์จัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนต่อไป แต่ละหน่วยงานที่ต้องสอดรับกับกฎหมายที่กำหนด ซึ่งหากเป็นไปได้ก็อยากจะให้เป็น Made in Thailand for Thai People เพื่อให้คนไทยได้เห็นถึงศักยภาพสินค้าไทยได้มากขึ้นและจะเป็นเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้จำนวนมาก”
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่าปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม 60,000 แห่ง รวมทั้งกลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเชื่อมโยงไปยังแรงงานอีก 5 ล้านคนจะมีโอกาสเพิ่มรายได้จาก Made in Thailand ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำเม็ดเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจ พร้อมฟื้นฟูภาระหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 และนโยบายดังกล่าวยังมีส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการย้ายฐานการลงทุนจากต่างประเทศมายังประเทศไทยมากขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นผลภายใน 1 ปี.