นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโต 2.8% ซึ่งเป็นการเติบโตน้อยกว่า 4% ในรอบ 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 61 ที่เริ่มมีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยซบเซามาตลอด อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 1 ปี 63 คาดหวังว่าดัชนีสถานการณ์ธุรกิจเอสเอ็มอีจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 41.2 จากเดิมอยู่ที่ 40.8 จุด และภาพรวมธุรกิจเอสเอ็มอีจะเติบโตอยู่ในระดับ 3.4% หลังจากสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีอยู่มาก ทั้งปัญหาภัยแล้ง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) โรคติดต่อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งคาดว่าจะทำให้สภาพคล่องหายไปจากระบบราว 7,000-10,000 ล้านบาท จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอยู่ที่ 2.5% เท่านั้น “หากงบประมาณปี 63 ออกล่าช้าไปอีก 3 เดือน คือเดือน พ.ค.63 จากเดิมต้องออกเดือน ก.พ.นี้ รัฐบาลอาจประคองเศรษฐกิจไปได้ แต่จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าเดิม เพราะกว่าเงินจะเข้าสู่ระบบก็จะอยู่ในช่วงไตรมาส 3 ปี 63”
ส่วนสถานการณ์ธุรกิจเอสเอ็มอี ไตรมาส 4 ปี 62 จากการสำรวจ 1,233 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจไตรมาส 4 ปี 62 อยู่ที่ 40.8 ลดลง 0.7 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจเอสเอ็มอีขาดสภาพคล่อง ทำให้ยอดขายลดลง ขณะที่ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจไตรมาส 4 อยู่ที่ 47.2 จุด ลดลง 0.6 จุด จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเอสเอ็มอีต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูง ทำให้ต้องตั้งราคาสินค้าสูงตามไปด้วย ส่วนไตรมาส 1 ปี 63 คาดว่าจะขยับขึ้นอยู่ที่ 47.9 จุด ส่วนดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ ไตรมาส 4 ปี 62 อยู่ที่ 50.4 จุด ลดลง 0.7 จุด จากไตรมาสก่อน ส่วนไตรมาส 1 ปี 63 คาดว่าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 50.8 จุด ทั้งนี้ ไตรมาส 1 ปี 63 ที่ดีขึ้น เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งเสริมเอสเอ็มอีของภาครัฐที่ออกมา 38,000 ล้านบาท เริ่มเห็นผล ส่วนเรื่องที่จะนำ พ.ร.ก.กู้เงินมาใช้หากงบฯปี 63 ออกล่าช้านั้น มองว่ายังไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้ เพราะการจะใช้ พ.ร.ก.กู้เงินได้ ต้องดูกฎหมายงบประมาณควบคู่กันไปด้วย เพราะงบประมาณแต่ละปีจะถูกกำหนดไว้แล้ว.