รัฐโดดอุ้มธุรกิจโลว์คอสต์แต่มีข้อแม้

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับ 7 สายการบินราคาประหยัด (โลว์คอสต์) ในประเทศ อาทิ ไทยสมายล์ไทยแอร์เอเชีย ไลออนแอร์ นกแอร์ เป็นต้น รวมถึงบริษัทน้ำมัน 5 แห่ง คือ ปตท., บางจาก, เชลล์, เชฟรอน และซัลโก้ ว่า หากจะให้กรมสรรพสามิตลดภาษีน้ำมันเครื่องบินไอพ่นพาณิชย์ (Jet A-1) ทางสายการบินต้องทำข้อแลกเปลี่ยนว่าหากลดภาษีน้ำมันลงทำให้เกิดประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวอย่างไร เช่น การเพิ่มเที่ยวบินในจังหวัดที่เป็นเมืองรองเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งทางสายการบินต้องไปทำข้อเสนอมา โดยจะมีการนัดประชุมอีก 2 สัปดาห์ และจะเชิญกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาร่วมหารือด้วย

“ภาษีน้ำมันในกลุ่มเครื่องบินนั้นกรมสรรพสามิตจัดเก็บปีละ 3,000 ล้านบาทถือว่าไม่มาก แต่การทบทวนอัตราภาษีต้องเกิดประโยชน์ต่อสาธารณะไม่ใช่เกิดประโยชน์กับสายการบิน”

นายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายงานการเงินและบัญชี บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบางกอกแอร์เวย์ส กล่าวว่า มองตรงกับกรมสรรพสามิตว่าการลดภาษีต้องให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยสายการบินมีส่วนสนับสนุนและอำนวยความสะดวกต่อการท่องเที่ยวของไทยและทำให้ต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งสายการบินพยายามทำให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกแค่ 5-6 เมืองหลัก ทั้งนี้ เมื่อถามถึงว่าลดภาษีแล้วจะลดค่าโดยสารหรือไม่ นายอนวัชกล่าวว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.2560 ราคาบัตรโดยสารเฉลี่ยไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ลดลงด้วยซ้ำ เพราะมีการแข่งขันระหว่างสายการบินทั่วโลก ดังนั้น หากต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ หรือระบบขนส่งสินค้า รัฐต้องช่วยสายการบินของไทยให้แข่งขันกับประเทศอื่นๆทั่วโลกได้.