สั่งรัฐวิสาหกิจเร่งลงทุน

รถไฟบินไทยท่าอากาศยานเบิกจ่ายต่ำเป้า ผวาสงครามการค้าแนะรัฐบาลใหม่เร่งศก.

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยหลังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 19 แห่ง ว่า ได้เชิญรัฐวิสาหกิจเข้ามาหารือเรื่องการเร่งรัดการลงทุนรัฐวิสาหกิจในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกำลังมีปัญหา ส่งผลทำให้ภาคส่งอออกของไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐวิสาหกิจมีงบลงทุนรวมกันราว 330,000 ล้านบาท โดยล่าสุดผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมปี 62 ตั้งแต่เดือน ต.ค.61-เม.ย.62 มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 88,010 ล้านบาท คิดเป็น 92% ของแผนการเบิกจ่ายสะสม โดยมี 5 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายงบประมาณต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ ได้แก่ 1.การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 2.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 3.องค์การเภสัชกรรม 4.บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) 5.บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งต้องไปดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร

ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจนั้น ปัจจุบันคิดเป็น 10% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เท่านั้น เทียบไม่ได้กับการส่งออกที่มีผลต่อ GDP ถึง 60-70% แต่การกระตุ้นลงทุนรัฐวิสาหกิจก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ส่วนสงครามการค้าสหรัฐอเมริกาและจีน ที่กำลังเกิดขึ้นน่า จะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่ต้องออกนโยบายมาดูแล เพื่อให้เศรษฐกิจไทยโตเต็มศักยภาพได้ที่ 4-5% โดยในส่วนของคลังยังมั่นใจว่าปีนี้จะโตได้ 3.8% แม้มีสำนักวิเคราะห์หลายแห่งที่ปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงต่ำกว่านี้ “นโยบายพยุงเศรษฐกิจกลางปีที่คลังออกไปเมื่อเดือน เม.ย.นั้น จะเพียงพอดูแลเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2 เท่านั้น แต่ขณะนี้ปัญหาสงครามการค้าเริ่มรุนแรงขึ้น ถ้ารัฐบาลใหม่อยู่เฉยๆ อาจทำให้เศรษฐกิจต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ดังนั้น รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาต้องมาดูแลเศรษฐกิจต่อเหมือนที่รัฐบาลชุดนี้ทำ ไม่ควรปล่อยให้เศรษฐกิจเป็นไปตามยถากรรม”

นายอภิศักดิ์กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ มีความมั่นคงทั้งด้านการเงินและการคลัง นักลงทุนยังมองว่าไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน จึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นมาก การค้าไทยก็ยังเกินดุล เงินสำรองยังสูง หนี้ต่างประเทศยังต่ำมาก ฉะนั้นความเสี่ยงของเศรษฐกิจมีน้อย แต่ถ้าสงครามการค้ากระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเรื่อยๆ อาจกระทบต่อความมั่นคงเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการกระจายรายได้และนำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำ.