LVMH (Moet Hennessy Louis Vuitton SE) อาณาจักรแบรนด์หรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก บริษัทมหาชนจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งปัจจุบันมี เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ (Bernard Arnault) เป็นผู้นำคนสำคัญ โดยเขาได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้สร้างความมั่งคั่งจาก ‘การสร้างรสนิยม’ และวิธีการทำธุรกิจของเขาที่ทำให้ LVMH ทรงอิทธิพลขนาดนี้ คือ การเข้าไปซื้อหุ้นแบรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโตและไปได้ดี
โดยผลประกอบการในปี 2565 ที่ผ่านมา LVMH Group สามารถกวาดรายได้ไปกว่า 8.4 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท และกำไรอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 7.8 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ 6 กลุ่ม ดังนี้
สินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง 4.11 หมื่นล้านเหรียญ (48.81%) ตัวอย่างแบรนด์ Louis Vuitton, Christian Dior Couture, Fendi, Loro Piana, Céline, Kenzo, Loewe, Givenchy, Berluti, Marc Jacobs และอีกมากมาย
ร้านค้าปลีก 1.57 หมื่นล้านเหรียญ (18.76%) ตัวอย่างแบรนด์ Sephora, Le Bon Marché, DFS และ Starboard Cruise Services
นาฬิกาและเครื่องประดับ 1.12 หมื่นล้านเหรียญ (13.36%) ตัวอย่างแบรนด์ Bvlgari, Tiffany & Co, Hublot, Zenith, Chaumet, Fred, De Beers, Tag Heuer และอีกมากมาย
น้ำหอมและเครื่องสำอาง 8.2 พันล้านเหรียญ (9.75%) ตัวอย่างแบรนด์ Parfums Christian Dior, Guerlain, Kenzo Parfums, Benefit Cosmetics, Fenty Beauty, Fresh, Make up For ever, Stella, Maison Francis Kurkdjian และอีกมากมาย
ไวน์และสุรา 7.4 พันล้านเหรียญ (8.97% ) ตัวอย่างแบรนด์ Moët & Chandon, Dom Pérignon, Mercier, Ruinart, Veuve Clicquot, Krug Estates & Wines, Chandon, Hennessy และอีกมากมาย
อื่นๆ 299 ล้านเหรียญ (0.35%)
จากรายได้กำไรขนาดนี้ทำให้ในปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทของ LVMH พุ่งสูงขึ้นจนทำให้ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ กลายเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกแซงหน้าอีลอน มัสก์ (แม้ปัจจุบันจะถูกแซงกลับแล้วก็ตาม) โดยข้อมูลจาก Bloomberg Billionaires Index ได้ประเมินความมั่งคั่งของเขา ณ ช่วงเวลานั้นอยู่ที่เกือบ 212,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่สัดส่วนรายได้ตามภูมิภาคตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ LVMH คือ เอเชีย โดยในปีที่ผ่านมาถ้าหากไม่นับรวมญี่ปุ่นก็กินส่วนแบ่งไปกว่า 30% ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา 27% ยุโรป 16% ฝรั่งเศส 8% ญี่ปุ่น 7% และอื่นๆ รวมกัน 12%
โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของ LVMH คือ การกลับมาเปิดประเทศของจีน ที่ได้กระตุ้นการเติบโตของสินค้าแบรนด์หรู สำหรับกลยุทธ์ของเบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ได้มองมุมกลับ คือ จากที่ประเทศอื่นต้องซื้อของที่จีนผลิต แต่เขากลับผลิตสินค้าที่ขายให้จีน ซึ่งเขาได้เคยให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2550 ไว้ว่า จีนกำลังจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งอย่างชัดเจน รวมถึงมีศักยภาพในการเติบโตสูงด้วย ด้วยจำนวนประชากร และกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น คนจีนมีความต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะสิ่งเหล่านี้มันแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่ในจีน ความหรูหราที่คนจีนต้องการคือ ของคุณภาพสูงที่ผลิตในยุโรป
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ก็เพิ่งได้เดินทางมาประเทศไทยและเยี่ยมชมร้าน Louis Vuitton ที่สาขาสยามพารากอนด้วยตนเองด้วย