เป็นหัวหอกของวงการธุรกิจค้าปลีกเมืองไทย ที่ลุกขึ้นเปลี่ยนทัพ ปรับระบบ และพัฒนาบิสซิเนสโมเดลใหม่อย่างไม่หยุดยั้งมาตลอดเวลาหลายปี เพื่อพร้อมรับมือกับการดิสรัปชันของเทคโนโลยีดิจิทัล ล่าสุด เมื่อกลุ่มเซ็นทรัลต้องปิดศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นเวลากว่า 2 เดือน ตามมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล เพื่อควบคุมดูแลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สูญเสียรายได้ไปเกือบ 100% ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่สยายปีกไปบุกเบิกไว้ก่อนคนอื่น ได้กลายเป็น “หนูมหัศจรรย์” ที่กลับมาช่วยราชสีห์ในยามวิกฤติได้อย่างทันท่วงที แม้จะชดเชยความเสียหายทั้งหมดไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็นำรายได้กลับเข้ามาจุนเจือกลุ่มเซ็นทรัลให้หายใจหายคอคล่องขึ้นบ้าง

หนูมหัศจรรย์ที่เรากำลังพูดถึงก็คือ “JD Central” ธุรกิจน้องใหม่แกะกล่องในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป ที่จับมือร่วมทุนกับ “JD.com” ยักษ์ใหญ่วงการอีคอมเมิร์ซของประเทศจีน เมื่อกลางปี 2018 เพื่อเตรียมรุกหนักตลาดค้าปลีกออนไลน์เมืองไทย โดยหนึ่งในทายาทคนสำคัญของตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่ถูกวางตัวให้เป็นจอมทัพรุ่นใหม่ก็คือ “เท็น–รวิศรา จิราธิวัฒน์” ลูกสาวสุดรักของ “เจ้าสัวสุทธิชัย จิราธิวัฒน์” พิสูจน์ให้เห็นฝีมือจากการปลุกปั้น “JD Central” ให้เติบโตต่อเนื่องปีละมากกว่า 300% และสร้างฐานลูกค้าได้เกือบ 5 ล้านราย ภายในเวลาไม่ถึงสองปี สมกับเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ไหมล่ะ

...

ผู้ใหญ่มองเห็นศักยภาพอะไรในตัวเราถึงส่งมาบุกเบิกธุรกิจใหม่

เท็นเรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากสคริปปส์ คอลเลจ และต่อเอ็มบีเอ ที่โลโยลา แมรีเมาท์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย หลังเรียนจบขอทางบ้านลองทำงานเพื่อหาประสบการณ์อยู่ 5 ปี เลยได้ทำงานกับแอดเวอร์ไทซิ่งเอเจนซีในเครือ WPP และบริษัทเทคสตาร์ตอัพรุ่นใหม่ ทำให้มีประสบการณ์ทำงานการตลาดและพัฒนาสินค้าใหม่ๆกับแบรนด์ระดับโกลบอลอย่าง ไมโครซอฟท์, ซัมซุง และยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ อีกอย่างตอนถูกส่งไปทำงานที่ประเทศจีน เมื่อปี 2012-2014 เป็นมาร์เกตติ้งไดเรกตอร์ของห้างเซ็นทรัลในจีน ก็ได้ประสบการณ์ด้านการตลาดอย่างเข้มข้น ตอนอยู่เมืองจีนเห็นเลยว่าโอ้โหออนไลน์มาแรงมาก มีการแข่งขันกันหนักมาก ออฟไลน์ต้องเหนื่อยแน่ ก่อนที่เท็นจะกลับเมืองไทย คนจีนเลิกใช้เงินสดกันแล้ว เปลี่ยนมาจ่ายเงินด้วยออนไลน์เพย์หมด เท็นก็เอาประสบการณ์ทั้งหมดนี้มาเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง เมื่อกลุ่มเซ็นทรัลไปจับมือกับ “JD.com” ผู้ใหญ่จึงนึกถึงเท็น เพราะเห็นว่าสนใจธุรกิจด้านออนไลน์และเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นทุนเดิม โดยเท็นได้รับมอบหมายให้เป็นประธานบริหารฝ่ายการตลาด (CMO) ของ “JD Central” เริ่มตั้งแต่ร่วมก่อตั้งบริษัท, วางกลยุทธ์การตลาด, สร้างทีม และเปิดตัวธุรกิจสู่สาธารณชน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2018

สร้างผลงานได้น่าพอใจสมกับที่ผู้ใหญ่ให้โอกาสไหมคะ

(ยิ้ม) ตั้งแต่เปิดตัวมาจนถึงปัจจุบัน “JD Central” มีการเติบโตต่อเนื่องปีละมากกว่า 300% และสร้างฐานลูกค้าได้เกือบ 5 ล้าน ราย ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทุ่มเททำงานกันหนักมากจริงๆ

สองปีก่อนการแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซขับเคี่ยวรุนแรง แล้ว น้องใหม่อย่าง “JD Central” แจ้งเกิดมาได้ยังไง

ตอนที่เราเข้ามาในตลาดมีเจ้าใหญ่แรงๆอยู่ในตลาดหลายเจ้าแต่เราไม่ได้บิลต์ธุรกิจแบบลดแลกแจกแถมแข่งกันกินเนื้อของตัวเองแบบคนอื่น จุดยืนของเราคือการซื้อใจลูกค้าด้วยความซื่อสัตย์ และสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลมาตลอด สินค้าทุกชิ้นของเราต้องสกรีนมาอย่างดีแล้วว่ามีคุณภาพ, ราคาดี และบริการประทับใจ

ได้รับอานิสงส์มากน้อยขนาดไหนจากวิกฤติโควิด–19

เฉพาะเดือนเมษายนที่ผ่านมา รายได้ของเราเติบโตขึ้นมากกว่า 400% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โควิดทำให้คนไทยหันมาช็อปปิ้งออนไลน์กันคึกคักขึ้นมาก กลายเป็นปรากฏการณ์นิวนอร์มอลไปเลย โดยสินค้าที่ขายดีก็พวกอิเล็กทรอนิกส์ และโปรดักส์โฮมทั้งหลาย

...

ในบรรดาธุรกิจอีคอมเมิร์ซของกลุ่มเซ็นทรัล “JD Central” ถือเป็นลูกรักอันดับหนึ่งเลยไหม

อันนี้ตอบยากนะคะ เพราะเรายังมีเซ็นทรัลออนไลน์ และโรบินสันออนไลน์ ที่เกิดมาก่อนหลายปี แต่สิ่งที่บอกได้คือ ในกลุ่มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซด้วยกัน “JD Central” สร้างรายได้ให้กรุ๊ปเกินกว่า 50% เราเป็นเหมือนมาร์เกตเพลสมีสินค้าทุกอย่าง ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะสินค้าในห้างสรรพสินค้า เรามีตั้งแต่แบรนด์คุณภาพ, แบรนด์สินค้าชั้นนำ, สินค้าเอสเอ็มอี ไปจนถึงผลผลิตของเกษตรกรทั่วประเทศ เราทำคิวซีละเอียดมากต้องคัดกรองแล้วกรองอีกกว่าจะให้สินค้าแต่ละเจ้าเข้ามาขายใน “JD Central” คือต้องมีแหล่งที่มาชัดเจน, มีการผลิตสินค้าด้วยตัวเอง และมีสตอรีที่น่าสนใจ ไม่ใช่ใครก็ได้สามารถนำสินค้าเข้ามาขายง่ายๆ เราทำแบบนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า พวกเอสเอ็มอีเล็กๆเราก็เข้าไปช่วยพัฒนาธุรกิจเพื่อนำสินค้าเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ทาง JD ต้นสังกัด มีความชำนาญมากในเรื่องเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ ตรงนี้เราก็ได้เรียนรู้จากจีนเยอะ ทำให้ “JD Central” มีจุดแข็งในเรื่องการขนส่งสินค้ารวดเร็วตรงเวลาและมีประสิทธิภาพ

...

ตั้งเป้าว่าจะปลุกปั้น “JD Central” ให้เติบโตแข็งแกร่งขนาดไหน

ปีนี้เราน่าจะเติบโตขึ้นกว่าปีที่แล้ว 4.5 เท่า และตั้งเป้าว่าจะมีรายได้ถึงหมื่นล้านบาทภายในสิ้นปีนี้

กดดันไหมเกิดมาเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่

เท็นโตมาแบบสบายๆค่ะ คุณพ่อไม่เคยกดดัน แต่จะเป็นแบบอย่างในเรื่องความซื่อสัตย์, ความถ่อมเนื้อถ่อมตน, ความทุ่มเททำงานหนักให้แฟมิลี่ และมีเมตตากับทุกคน เท็นคิดว่าเรื่องการทำธุรกิจน่าจะอยู่ในยีนของพวกเรา ผู้ใหญ่ใน ครอบครัวยังเปิดโอกาสให้ลูกหลานได้ลองทำอะไรใหม่ๆเสมอ ไม่เคยปิดกั้นเลย โดยจะดูตามความสามารถและความถนัด พวกเราทุกคนเข้ามาทำงานในเซ็นทรัลจะต้องมี “เมนเทอร์” คอยเป็นพี่เลี้ยงสอนการทำงาน โชคดีมากที่เมนเทอร์ของเท็นคือ “คุณยุวดี จิราธิวัฒน์” ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานมาก เท็นเลยได้เรียนรู้อะไรจากท่านเยอะ ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ท่านก็ถ่ายทอดวิชาให้ทุกอย่าง เป็นครูในชีวิตการทำงานจริงๆ

คุณเท็นเป็นผู้บริหารสไตล์ไหน

เท็นเป็นคนอึดมากๆ เวลาทำอะไรก็จะทุ่มเทเกินร้อยอยู่แล้ว และทำทุกอย่างด้วยหัวใจของเจ้าของกิจการ ทำให้มองความสำเร็จขององค์กรเป็นเป้าหมายสำคัญ งานทุกอย่างเท็นจะทำเป็นทีมเวิร์กเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน พนักงานของ “JD Central” อายุเฉลี่ยไม่ถึง 30 ปี ทำให้เท็นได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆจากคนรุ่นใหม่ด้วย ถือเป็นบียูที่อายุน้อยสุดในกรุ๊ปแล้วค่ะ

...

ภายใต้การนำของคนรุ่นใหม่ “JD Central” จะเติบโตไปทิศทางไหน

เป้าหมายแรกคือการขยายธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่ง เพื่อให้ “JD Central” เป็นบียูหลักบียูหนึ่งของกลุ่มเซ็นทรัลภายใน 3-5 ปี ส่วนเป้าหมายที่สองคือ รักษาและส่งต่อ “ทรัสต์” ความไว้วางใจที่คนไทยมีต่อเซ็นทรัล กรุ๊ป ส่วนเป้าหมายที่สามคือ การตอบแทนและทำประโยชน์ให้สังคม ธุรกิจยุคนี้จะเติบโตได้ไม่ใช่มองแค่ผลประโยชน์หากำไรอย่างเดียว แต่เรายังสามารถทำประโยชน์ให้สังคม ด้วยการเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงการค้าขายทางออนไลน์มากขึ้น ที่สำคัญที่สุดธุรกิจออนไลน์กับออฟไลน์ของเซ็นทรัลต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แข่งกันเอง ทุกวันนี้รายได้หลักของเรามาจากการเก็บค่าคอมมิชชันกับแบรนด์สินค้า, การให้บริการขนส่งโลจิสติกส์, โฆษณา และเซอร์วิสพิเศษต่างๆ เช่น ลูกค้าอยากเปิดร้านบนแพลตฟอร์มของเรา เราก็มีทีมถ่ายรูปทำคอนเทนต์และการตลาดให้ทุกอย่าง

อะไรคือความท้าทายใหญ่ในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคนี้

การแข่งขันและมีคู่แข่งเป็นเรื่องดีนะคะ เพราะทำให้ตลาดคึกคักน่าสนใจ แต่เรื่องท้าทายที่สุดคือการเอาชนะใจลูกค้า ทำยังไงให้ลูกค้าไว้วางใจและนึกถึง “JD Central” เป็นอันดับแรก ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาถ้าอยากช็อปปิ้งก็ต้องมาหาเรา ก่อนที่จะเกิดวิกฤติโควิด-19 ผลเซอร์เวย์บ่งชี้ว่า คนไทยไม่กล้าซื้อของออนไลน์เพราะกลัวโดนโกง หรือถ้าจะซื้อก็เลือกราคาถูกเป็นหลัก แต่โควิดทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปรวดเร็วมาก จะหันมา เลือกช็อปปิ้งกับแพลตฟอร์มที่เขาไว้วางใจ มากกว่าจะดูแต่เรื่องราคาเหมือนสมัยก่อน คนทำ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมาก เราต้องคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ ออกมาตลอด อย่างแคมเปญหนึ่งที่เวิร์กมากคือ “JOY PAY” ให้ลูกค้าเลือกสินค้าที่ชอบในแพลตฟอร์มของเรา แล้วแชร์สินค้าให้เพื่อนช็อป ใครขายได้ก็รับค่าคอมไปเลย ปรากฏว่ายอดพุ่งมาก โดยเฉพาะหม้อทอดไร้น้ำมัน ยิ่งช่วงโควิดคนเข้ามาหารายได้เสริมกับแคมเปญนี้เยอะมาก.

ทีมข่าวหน้าสตรี