ผลสำรวจอนามัยโพล โดยกรมอนามัย ระหว่างวันที่ 25-31 มกราคม 2564 พบว่า ผู้ที่มีอาการในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน มีอาการหายใจมีเสียงหวีด หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ และไอมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยจังหวัดที่พบว่ามีอาการมากที่สุด ได้แก่ ราชบุรี รองลงมาคือ ตาก กรุงเทพมหานคร และเชียงราย ตามลำดับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการเปิดโรงเรียนในพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัด หลังจากมีมาตรการผ่อนคลายเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่การจราจรเริ่มติดขัดมากขึ้น อาจทำให้ปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้นและกระทบต่อสุขภาพของเด็กนักเรียนได้
ขณะที่ผู้ปกครองก็ยังมีความกังวลต่อสุขภาพของเด็กนักเรียนที่ต้องเดินทางมาโรงเรียนและอาจมีกิจกรรมกลางแจ้งในโรงเรียน จากการสอบถามความกังวลของผู้ปกครองในประเด็นสุขภาพเด็กและฝุ่นละออง ระหว่างวันที่ 22-31 มกราคม 2564 จำนวน 881 คน พบว่า 95.1% มีความกังวลว่าเด็กจะหายใจเอาอากาศที่ไม่สะอาดเข้าสู่ร่างกาย 93.1% มีความกังวลว่าฝุ่นจะทำให้เด็กมีอาการระคายเคืองตา จมูก และ 90.7% มีความกังวลว่าสถานการณ์ PM 2.5 อาจจะทำให้ต้องหยุดเรียน เรียนไม่ทัน และสิ่งที่ต้องการเพื่อป้องกันผลกระทบต่อเด็ก คือ ความรู้ คำแนะนำในการป้องกัน ดูแลสุขภาพ สนับสนุนหน้ากากป้องกันฝุ่นในเด็ก รวมทั้งจัดให้มีห้องปลอดฝุ่นในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก หรือในที่สาธารณะ
...
จากข้อมูลดังกล่าว กรมอนามัยจึงได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำแนวทางลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สำหรับสถานศึกษา และจะมีการปฏิบัติการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจแก่นักเรียน ผู้ปกครอง และตรวจเยี่ยมความพร้อมของโรงเรียน เพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กให้มากที่สุด
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย บอกว่า ได้แนะนำแนวทางลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM 2.5 เพื่อให้โรงเรียน ครู ผู้ดูแลหรือผู้ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นแนวทางในการลดและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM 2.5 ในสถานศึกษา โดยเน้นย้ำให้มีการปฏิบัติการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจแก่นักเรียน ผู้ปกครอง และตรวจเยี่ยมความพร้อมของโรงเรียน เพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กให้มากที่สุด
“สำคัญที่สุด คือ การให้ความรู้แก่นักเรียนถึงอันตรายและวิธีการป้องกันตนเองที่ถูกต้อง ติดตามและแจ้งเตือนสถานการณ์ทุกวัน และมีมาตรการหรือแนวทางปฏิบัติสำหรับสถานศึกษาตามระดับฝุ่นละออง เช่น เมื่อค่า PM 2.5 อยู่ในระดับสีเหลืองส้ม ควรลดหรืองดกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งการเข้าแถวหน้าเสาธงหรือกิจกรรมพลศึกษา เด็กที่มีโรคประจำตัวหรือเด็กเล็กควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด หรือจัดให้มีห้องปลอดฝุ่นในโรงเรียน สำหรับในส่วนของผู้ปกครองนั้น ควรดูแลป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพเด็กเมื่อต้องเดินทางมาโรงเรียน” นพ.สุวรรณชัย บอก
อธิบดีกรมอนามัยได้แนะนำแนวทางและวิธีปฏิบัติของกลุ่มต่างๆ คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน 1. ประกาศนโยบายและแนวปฏิบัติการป้องกัน PM 2.5 2.สื่อสารประชาสัมพันธ์การลดและป้องกัน PM 2.5 เกี่ยวกับนโยบาย มาตรการ แนวปฏิบัติ ให้แก่ครู นักเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงบุคลากรภายในโรงเรียน 3.กำหนดมาตรการในการจัดการกรณี PM 2.5 เกินมาตรฐาน ตามระดับความเข้มข้นของสถานการณ์ PM 2.5 และ 4.มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด
ในส่วนของครู และผู้ดูแลนักเรียน ให้ติดตามและแจ้งเตือนสถานการณ์ PM 2.5 ทุกวัน, สื่อสารข้อมูลสถานการณ์และวิธีการป้องกันตนเองทุกวัน และสังเกตอาการนักเรียน, ดูแลเด็กที่มีโรคประจำตัวอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติให้รีบพาไปพบแพทย์ และดูแลเด็กปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดตามระดับสถานการณ์
ส่วนนักเรียนเองก็ต้องดูแลตัวเอง ด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นทุกครั้งเมื่ออยู่นอกอาคาร, หากค่าฝุ่นสูง ให้ลดหรืองดกิจกรรมนอกอาคารหรืออยู่นอกห้องเรียนให้น้อยที่สุด, จัดเวรทำความสะอาดห้องเพื่อลดการสะสม PM 2.5, สังเกตอาการตนเอง หากพบว่ามีอาการผิดปกติ ส่วนแกนนำนักเรียน เป็นนักเรียนอาสาสมัครช่วยแจ้งสถานการณ์ ดูแลสุขภาพเพื่อนนักเรียน รวมถึงแจ้งเหตุการณ์ปัญหาฝุ่นในชุมชน บ้านเรือน และโรงเรียนด้วย
...
ด้าน ดร.วีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ บอกว่า ได้ประกาศจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพื่อให้หน่วยงานและสถานศึกษาใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติ ประกอบด้วย 2 มาตรการ คือ 1.มาตรการเร่งด่วน เช่น ให้หน่วยงานที่กำกับดูแลสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน และสถานศึกษา ติดตามสถานการณ์ และตรวจสอบคุณภาพอากาศประเทศไทยทางเว็บไซต์ air4thai.pcd.go.th หรือแอปพลิเคชัน Air4thai ของกรมควบคุมมลพิษเป็นประจำทุกวัน หากพบว่าคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มีผลกระทบต่อสุขภาพให้พิจารณาเปิด-ปิดสถานศึกษาตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ.2549 และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558 และให้สถานศึกษา รวมทั้งผู้ปกครอง และนักเรียน ปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูงเกินมาตรฐาน และ 2.มาตรการระยะยาว รณรงค์ให้นักเรียน นักศึกษา ผู้บริหาร ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เดินทางโดยระบบขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว หรือวางแผนการเดินทางโดยใช้รถยนต์ร่วมกัน รวมทั้งหน่วยงานและสถานศึกษา รณรงค์และสร้างแรงจูงใจให้ดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับการดูแลรักษาต้นไม้ รวมถึงการเพิ่มและจัดการพื้นที่สีเขียวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการเพิ่มพันธุ์ไม้ฟอกอากาศและจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ จิตสำนึกที่ดี และมีส่วนร่วมในการควบคุม ป้องกัน แก้ไข และลดปัญหา อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน.
...