นทีป์ ฅนปากศิลป์ หรือ นายวิเชียร ดิษฐี อดีตสตั๊นท์แมนที่เคยทำเงินได้ถึงวันละ 3,000 บาท กลับต้องกลายเป็นผู้ป่วยอัมพาตที่ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการวาดภาพด้วยปาก

ก่อนที่นทีป์จะก้าวเข้าสู่การเป็นสตั๊นท์แมน เขาหาเลี้ยงชีพด้วยการขับรถส่งน้ำแข็งตามคอนโดมิเนียมของโมเดลลิ่งต่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งนักแสดงประกอบมีจำนวนไม่พอ โมเดลลิ่งจึงติดต่อให้เขาไปเล่นเป็นนักแสดงประกอบด้วยเห็นว่าหน่วยก้านดี ต่อมาหลังจากที่เขาฝึกปรือทักษะการแสดงผาดโผนและทักษะอื่น ๆ เช่น การฟันดาบ ขี่ม้า และยิงปืน เขาก็กลายเป็นสตั๊นท์แมน มากฝีมือที่ได้รับค่าตอบแทนค่อนข้างสูง

แต่แล้วชีวิตของเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ด้วยการประสบอุบัติเหตุจากการฝึกซ้อมเพื่อแสดงโชว์อุลตร้าแมนที่อิมแพ็ค เมืองทองธานีในช่วงปี 2544 เหตุการณ์ตอนนั้นเกิดขึ้นหลังจากการแสดงรอบสื่อมวลชนเสร็จสิ้นลงและบรรดานักแสดงก็พากันกลับที่พักเพื่อซักซ้อมก่อนที่จะแยกย้ายไปพักผ่อน แต่ความเหนื่อยล้าทำให้นทีป์พลาดท่าเสียหลักขณะซ้อม เขาล้มศีรษะกระแทกพื้น เป็นผลให้กระดูกคอหักและเป็นอัมพาต

...

หลังจากเกิดอุบัติเหตุ เพื่อนๆ สตั๊นท์แมนก็พาเขาไปส่งที่โรงพยาบาล ในช่วงแรกของการรักษา เขาต้องเจาะคอ ทำให้ไม่สามารถพูดได้ ทั้งยังต้องผ่าตัดใส่เหล็กดามคอเนื่องจากกระดูกคอได้รับความเสียหายรุนแรง ในขณะนั้นเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองจะไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก จนกระทั่งแม่ของเขาตัดสินใจบอกความจริง

เมื่อรู้ความจริงว่าตนจะไม่สามารถกลับมาเดินได้ เขาถึงกับคิดฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถรับสภาพของตนเองได้ จากคนที่เคยมีร่างกายแข็งแรงกำยำและสามารถทำเงินได้วันละหลายพันบาท กลับต้องกลายมาเป็นผู้ป่วยอัมพาตที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังจากที่เขากลับมารักษาตัวที่บ้านก็พบว่า ภรรยาของเขาทิ้งเขาและลูกน้อยอีก 2 คนไปมีครอบครัวใหม่เสียแล้ว แต่ลูกชายทั้งสองคนนี้เองที่เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้เป็นพ่อ ทำให้เขาหยุดคิดที่จะฆ่าตัวตายและค้นหาวิธีสร้างรายได้เพื่อนำมาเป็นทุนการศึกษาของลูกๆ

หลังจากนั้นไม่นาน เขามีโอกาสได้ดูเทปบันทึกรายการหนึ่งซึ่งนำเสนอเรื่องราวของ อาจารย์เอกชัย วรรณแก้ว ผู้พิการแขนที่ใช้เท้าวาดภาพ เขาจึงเกิดแรงบันดาลใจทดลองวาดภาพโดยใช้อวัยวะที่ยังสามารถใช้งานได้ตามปกตินั่นคือ “ปาก”

นทีป์เริ่มต้นจากการฝึกเขียนตัวอักษรก่อน จากนั้นจึงหัดวาดรูปอย่างง่าย ๆ เขาใช้เวลาฝึกอยู่ 6 เดือนจึงสามารถวาดรูปด้วยปากได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น โดยใช้ฟันหน้ายึดแท่งดินสอและบังคับให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ส่วนเรื่องการแรเงา เขาใช้คอตต้อนบัดส์หรือสำลีพันปลายไม้ในการเกลี่ยเพื่อสร้างแสงเงา

ปัจจุบันนทีป์ใช้เวลาในการวาดภาพวันละ 8-9 ชั่วโมง เพราะต้องพักเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างวันเพื่อป้องกันแผลกดทับจากนั้นจึงกลับมาวาดใหม่ในท่านอนตะแคงขวา

สำหรับนทีป์แล้ว ศิลปะมิได้เป็นเพียงงานอดิเรก แต่เป็นอาชีพที่ทำให้เขามีเงินมาจุนเจือครอบครัวโดยการขายภาพวาดและเสื้อปักลายที่เขาวาดและออกแบบด้วยตนเองนอกจากนั้นศิลปะยังเป็นเสมือนสิ่งที่ยึด-เหนี่ยวจิตใจของเขาไม่ให้ฟุ้งซ่าน ทั้งยังทำให้เขามีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขารัก

ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งนทีป์เคยท้อแท้กับชีวิต ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่ในปัจจุบันเขากลับ หันหลังให้โชคชะตา และหันหน้ามาสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองและคนในครอบครัว

...

นทีป์เชื่อเสมอว่า ไม่ว่าคนพิการหรือคนปกติ ขอแค่มีใจสู้และมีความรับผิดชอบต่อตนเอง รู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดสำคัญ อย่าคิดว่าตนเองทำไม่ได้ เพราะทุกคนมีศักยภาพในตนเอง อยู่ที่ว่าเราจะดึงมันออกมาได้มากน้อยเพียงใด และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราต้องดิ้นรนต่อสู้เราก็จะสามารถดึงพลังที่ซ่อนเอาไว้ออกมาเพื่อทำในสิ่งที่เราเคยคิดว่าทำไม่ได้ให้สำเร็จ

ถ้าหากคุณคือคนที่มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม แต่กลับรู้สึกท้อถอยและหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิต ศิลปินผู้นี้คงเป็นกระจกที่สะท้อนให้คุณเห็นถึงศักยภาพที่คุณมีได้ไม่มากก็น้อยทีเดียว