ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสะสมเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงระดับท็อปของเมืองไทย ที่เป็นแขก VVIP ได้รับเชิญไปร่วมงานพรมแดงครั้งสำคัญของไฮจิวเวลรีแบรนด์ระดับโลกมานับไม่ถ้วน โดยทุกครั้งที่ หญิงแกร่งแห่งวงการเหล็กและวัสดุก่อสร้าง “โต้ง จรรยา สว่างจิตร” ปรากฏกาย มักจะสะกดทุกสายตาด้วยเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงชิ้นหายาก ซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันอยากครอบครองของนักสะสมทั้งโลก

จะเรียกว่าเป็นรักแรกพบ หรือรักแท้ชั่วนิรันดร์ ความหลงใหลในประกายเพชรของ “คุณโต้ง” สปาร์กตั้งแต่วัยรุ่น และเพิ่มดีกรีความปรารถนาร้อนแรงขึ้นตามวัย โดยล้วนเกิดจากการสะสมด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง

“เก็บเองทั้งหมด เจ๋งกว่าได้มรดกมา ดิฉันให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อเพชร!! ย้อนไปดิฉันมีความรู้สึกสนใจเครื่องประดับเพชรมาตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า เมื่อก่อนเวลาคุณแม่ไปร้านเพชร เราก็ตามท่านไป พี่สาวไปซื้อเราก็ตามพี่สาวไป มาภายหลังพอมีครอบครัวเราก็เริ่มซื้อเป็นของตัวเอง” คุณโต้งย้อน ความหลังขณะให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร HELLO! ฉบับที่ 9 กันยายน 2567

“เมื่อดิฉันเข้ามาสู่วงสังคม ก็ได้รับคำชวนจาก “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” ให้ไปร่วมงานการกุศลของสมาคมไลอ้อนส์รามา ที่ท่านเป็นนายกสมาคม อยู่เป็นประจำ ทำให้เราค่อยๆเข้ามาสู่วงการเพชร ซึ่งสมัยก่อนเวลาเมืองไทยจัดงานเพชร ก็จะเป็นแบรนด์ไทย อย่างเช่น บลูริเวอร์ ไดมอนด์ ของ “คุณณรงค์ ธรรมาวรานุคุปต์”, แฟรงค์ จิวเวลรี ของ “คุณชัยยศ เอี่ยมอมร พันธ์” มี บิวตี้ เจมส์ ของ “คุณหนึ่ง–สุริยน ศรีอรทัยกุล” แบรนด์เพชรเมืองนอกยังไม่ค่อยมี

...

...แต่ละปีแบรนด์เหล่านี้จะจัดงานปีละครั้งหรือสองครั้ง เราก็จะได้รับเชิญไปร่วมงาน แล้วก็เริ่มซื้อมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ซื้อชิ้นใหญ่ จนมาช่วง พ.ศ.2540 เศรษฐกิจไทยไม่ดีทั้งประเทศ หลายธุรกิจมีปัญหา แต่บริษัทดิฉันไม่ได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินบาท เพราะตอนนั้นเราไม่ได้ทำธุรกิจใหญ่ ก็มีคนรู้จักกันเขาเอาเพชรของคนเคยรวยมาปล่อย แล้วท่านผู้การประจักษ์ (“พันเอก (พิเศษ) ประจักษ์ สว่างจิตร” สามีผู้ล่วงลับ) ก็ชอบดูเพชรมาให้ เพราะราคาดี บางชิ้นเป็นของหลุดจำนำบ้าง หรือคนไม่มีเงินเขาเอามาขายให้เรา แต่ก็เป็นเพชรน้ำธรรมดา เพราะตอนนั้นเรายังดูไม่เป็นสักเท่าไหร่”

จากเพชรที่ซื้อเองและมีคนนำมาเสนอขาย “คุณโต้ง” เริ่มเข้าสู่วงการประมูลระดับโลกในเวลาต่อมาและทำให้การซื้อเพชรในช่วง 10 ปีหลังมานี้ เน้นไปที่การเก็บสะสมไฮจิวเวลรี ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีแต่ทวีมูลค่าขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลา

“ดิฉันสะสมเพชรมานาน แต่ถ้าสะสมเพื่อการลงทุนจริงๆ โดยเน้นแบรนด์ระดับสูง ก็ราว 10 ปีได้ โดยเริ่มจากแบรนด์ Mouawad ก่อน แล้วก็มาสะสมเพชรสีเหลืองของ Graff ซึ่งมีราคาที่สมเหตุสมผล ดิฉันไม่ได้เป็นคนดูของเก่ง การซื้อเพชรที่มีแบรนด์และมีการการันตี ทำให้เราสบายใจได้ว่าเพชรจากที่ไหน พลอยจากที่ไหน น้ำหนักเท่าไหร่

...เวลาที่คริสตี้ส์จัดประมูลเพชร เขาจะมีแค็ตตาล็อกส่งมาให้เราเลือก เพชรที่นำมาประมูลล้วนเป็นจิวเวลรีแบรนด์ระดับโลกทั้งนั้น และราคาเป็นมาตรฐานแน่นอนอยู่แล้ว เราไม่ต้องมาเช็กว่าเพชรมีปัญหาไหม เพชรมีตำหนิไหม เพราะแบรนด์เหล่านี้จะมีใบการันตีมาด้วย ถ้าไม่มีใบการันตีแล้วต้องการขาย จะไม่ได้ราคาอย่างที่ควรเป็น ...นานมาแล้วดิฉันเคยประมูลเพชร “Van Cleef & Arpels” มาชิ้นหนึ่ง เมื่อปล่อยให้คนอื่นประมูลต่อก็มีกำไร ใบการันตีนี่สำคัญนะ ต้องถือเอาไว้ หากว่าทำหายก็ต้องให้แบรนด์ทำให้ใหม่”

ในแวดวงของผู้หลงใหลอัญมณี เป็นที่เลื่องลือว่า “คุณโต้ง” คือนักสะสมเครื่องประดับไฮจิวเวลรีระดับเอ-ลิสต์ตัวจริงเสียงจริง โดยทุกชิ้นที่เลือกสวมใส่ออกงานล้วนแต่เป็นชิ้นหายากประเมินมูลค่าไม่ได้

“ดิฉันชอบเพชรชิ้นใหญ่ๆ เพราะเหมาะกับบุคลิกของเราเองที่เป็นผู้หญิงสตรอง และหากมองในแง่ของการลงทุน ราคาของเพชรชิ้นใหญ่จะขยับขึ้นสูง ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือมูลค่าของเพชรจะมาพร้อมชื่อเสียงของแบรนด์และดีไซน์ ยิ่งถ้าเราสะสมเพชรที่มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกด้วยแล้ว ราคาจะยิ่งขึ้นสูงไปอีก แต่การจะลงทุนชิ้นไหน เราต้องชอบชิ้นนั้นด้วย

...

...อย่างสร้อยคอของ “Van Cleef & Arpels” เส้นนี้ เป็นเพชรจากเหมืองในประเทศเลโซโท แอฟริกาใต้ น้ำหนัก 80 กะรัต ที่อยู่กับเราเม็ดนี้เป็นเม็ดที่ใหญ่ที่สุดในคอลเลกชันเพชร “เลโซโท เลเจนด์” และมีอยู่เม็ดเดียวในโลก”...หญิงเหล็กชวนให้พิศสร้อยคอเพชรประดับทับทิม ที่โดดเด่นด้วยเพชรน้ำงามหนึ่งเดียวในโลก ซึ่งออกแบบพิเศษให้สามารถดัดแปลงในการสวมใส่

“ครั้งหนึ่ง “Van Cleef & Arpels” เคยขอยืมสร้อยดิฉันไปจัดโชว์ในงานนิทรรศการของแบรนด์ที่เกาหลี มีนักธุรกิจที่ได้รับเชิญไปงานนั่งอยู่ตรงข้ามเรา พอเขาอ่านป้ายชื่อเรา เขาก็ตื่นเต้นว่าเราเป็นเจ้าของสร้อยเพชรชิ้นที่โชว์อยู่”

ตอกย้ำอีกครั้งว่าความ VVIP ของ “คุณโต้ง” เป็นที่กล่าวขานไปทั้งภูมิภาค

“เวลาเขาเชิญไปงาน เขาจะจัดเพชรให้เราดูเป็นคนแรกในเซาท์อีสต์เอเชีย ตอนจัดที่ฮ่องกงเขาก็ให้เราดูเป็นคนแรก เป็นการให้เกียรติเรา และเขารู้ว่าคนไทยมีกำลังซื้อ เวลาซื้อดิฉันจะตัดสินใจตรงนั้นเลยทุกชิ้น เพราะเรามั่นใจในเพชรของเขา เขารักษาชื่อเสียงของแบรนด์ เราเองก็รู้คุณภาพของแบรนด์ระดับนี้ทุกแบรนด์ ไม่ว่า Van Cleef & Arpels, BVLGARI และ Graff”

...

“เดี๋ยวนี้ไม่ได้ประมูลแล้ว เขาเอาแค็ตตาล็อกส่งมาให้เราดู ซึ่งราคาเขาเป็นสแตนดาร์ดไพรซ์อยู่แล้ว ถ้าเราดูแล้วชอบเราก็ซื้อ เวลาแบรนด์เอาไปแสดงงานเขาขายหมดทุกงาน ลูกค้าเขาระดับบิ๊กๆทั้งนั้น...พอเราได้มาก็ได้เอาไปโชว์ที่นั่นที่นี่ พอคนเห็นเขาก็จะดูว่าใครซื้อ ใครเป็นเจ้าของ เมืองไทยนี่กำลังซื้อเยอะนะ เมื่อก่อนต่างประเทศไม่สนใจเมืองไทยเลย เขาไม่คิดว่าคนไทยกล้าซื้อ แต่เดี๋ยวนี้คนไทยกล้าซื้อกว่าเมื่อก่อนมาก เขาหันมาสะสมเพชรเพื่อการลงทุนกันเยอะขึ้น แบรนด์เองก็ต้องการสร้างตลาดของเขาเหมือนกัน เริ่มมีการให้เครดิต มีหลายแบรนด์เข้ามาติดต่อศูนย์การค้า มาทำป๊อปอัป บางคนก็มาลงทุนเลย เราเองก็ดีใจว่าทำให้แบรนด์ต่างชาติเขาสนใจประเทศไทย พอเขาเปิดร้านในประเทศไทย ก็ทำให้คนต่างประเทศเข้ามาซื้อเพชรในเมืองไทย ได้ช่วยเศรษฐกิจร้านเพชรในไทย และที่ตามมาคือเขาได้ใช้บริการอื่นๆของไทยด้วย ไม่ว่าจะที่พักโรงแรม อาหารการกิน ดึงนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย”

ความเป็นหญิงเหล็กสุดสตรองที่เฉียบคมและมีวิสัยทัศน์ของ “คุณโต้ง” ยังสะท้อนให้เห็นผ่านมุมมองการเลือกซื้อเพชรที่ยากจะเลียนแบบได้

...

“เรื่องซื้อเพชรสำหรับดิฉันต้องมี 3 อย่าง คือ ตาถึง...เงินถึง...ใจถึง คุณมีเงินแต่ไม่กล้าซื้อก็ไม่ได้นะ แต่ถ้ามีตอนไหนที่ดิฉันยังไม่ซื้อ ณ เวลานั้น แสดงว่าเรายังไม่ชอบร้อยเปอร์เซ็นต์

ก่อนจากกัน “คุณโต้ง” ย้ำว่า “การลงทุนกับเพชรเป็นกำไรชีวิต มีเงินต้องใช้เงิน ไม่ใช่ให้เงินใช้เรา มีเงินแล้วเก็บอย่างเดียวไม่เอา...เราไม่ได้ซื้อเพราะต้องการโชว์ออฟ เราได้ใช้ด้วย ถ้าปล่อยออกไปก็มีกำไร กำไรเยอะด้วย ยิ่งเราสะสมแบบมีชิ้นเดียวในโลก หาก 20 ปีข้างหน้าแบรนด์ซื้อคืนเพื่อนำไปเข้ามิวเซียม ราคาในตอนนั้นไม่รู้เป็นเท่าไหร่”

สมกับเป็นหญิงเหล็กแถวหน้าของเมืองไทยจริงๆ ทั้งตาถึง...เงินถึง และใจถึง แถมยังช่วยกู้ศักดิ์ศรีคนไทยให้มีที่ยืนบนเวทีโลก!!


ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่