หนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต ก็คือการเข้าพิธีแต่งงาน ดังนั้น พิธีการแต่งงานส่วนใหญ่ไม่ว่าที่ไหนๆจึงมักจะมีพิธีรีตองไม่ธรรมดาเพื่อให้ เป็นที่จดจำไปตลอดชีวิตของคู่บ่าวสาว จึงมีคนพยายามคิดค้นพิธีแต่งงานแปลกๆใหม่ๆมาให้เป็นข่าวได้เสมอ เช่น การสวมชุดมนุษย์กบลงไปแต่งงานกันใต้น้ำ การกระโดดร่มชูชีพลงจากเครื่องบินพร้อมกับสวมแหวนให้กัน หรือหลายประเทศก็มีการจัดพิธีแต่งงานพร้อมกันเป็นหลายสิบหลายร้อยคู่ แต่การแต่งงานของวัฒนธรรมเก่าแก่ดั้งเดิมหลายๆแห่งก็มีความไม่ธรรมดาอยู่ใน ตัวเอง ดังที่ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนพิเศษได้นำมาเสนอในคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์ สเปเชียลประจำสัปดาห์นี้ค่ะ

ร้องไห้ก่อนแต่ง

การร้องไห้ในงานแต่งงานอาจจะดูไม่แปลกตรงไหน ถ้าเป็นการร้องไห้กันด้วยความปลื้มปีติ แต่ในมณฑลถู่เจี๋ยของประเทศจีนนั้น การร้องไห้ก่อนงานแต่งเป็นสิ่งที่เจ้าสาวพึงกระทำก่อนเข้าพิธี ถือว่าเป็นการเตรียมตัวก่อนจะได้ใช้ชีวิตกับชายที่ตนรัก โดยที่หนึ่งเดือนก่อนวันแต่งว่าที่เจ้าสาวก็จะเริ่มต้นร้องไห้ติดต่อกันเป็น เวลาหนึ่งชั่วโมง สิบวันถัดจากนั้น แม่ของเธอก็จะมาร่วมช่วยร้องไห้ด้วย และต่อจากนั้นอีกสิบวัน ญาติผู้หญิงในตระกูลก็จะเข้ามาร่วมร้องไห้ คนที่ร่วมกันร้องไห้นั้นจะร้องโดยใช้เสียงความสูงต่ำที่ต่างกันไป กลายเป็นบทเพลง ร้องไห้สำหรับวันแต่งงาน  เหตุผลสำหรับประเพณีนี้ คือการขับความทุกข์ออกไปให้หมดก่อนงานแต่งงาน


ฟัน=สินสอด

ประเทศฟิจิซึ่งเป็นหมู่เกาะ สมัยก่อนนั้นความแข็งแรงและอดทนเป็นคุณสมบัติที่ผู้ชายชาวเกาะควรมี ดังนั้น สินสอดแต่งงานย่อมไม่ใช่เงินหรือของที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่มีราคาสูงแต่ อย่างใด  หากแต่จะต้องเป็นฟันของวาฬเท่านั้น  เพราะฟันของสัตว์ชนิดนี้แสดงถึงอำนาจและฐานะ โดยที่ฝ่ายชายต้องนำมาให้พ่อตาของตนพร้อมกับลงมือทำอาหารมื้อใหญ่ เลี้ยงบรรดาญาติพี่น้องของฝ่ายหญิง  เมื่อผู้เป็นว่าที่พ่อตายินยอมให้มีการแต่งงานเกิดขึ้น ว่าที่เจ้าบ่าวก็จะมีสิทธิ์พาว่าที่เจ้าสาวของตนไปสักลวดลายบนเรือนร่าง เพื่อเพิ่มความสวยในวันแต่งได้

...


ความเชี่ยวชาญเป็นเหตุ

ในบางหมู่บ้านที่ทวีปแอฟริกา เมื่อพิธีแต่งงานเสร็จสิ้นลง ผู้หญิงสูงอายุที่สุดของหมู่บ้าน หรือแม่ของเจ้าสาว หรือแม้แต่แม่ของสามี จะเป็นผู้นำตัวเจ้าสาวไปส่งที่เรือนหอ เพื่อจะให้การแต่งงานนี้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ไปส่งตัวเจ้าสาว ก็จะอธิบายให้เจ้าสาวฟังไประหว่างทางว่าควรทำตัวอย่างไรในคืนแต่งงานวันแรก (ก็เรื่องอย่างว่านั่นแหละ) ไม่เพียงแค่เป็นผู้อธิบายเท่านั้น เธอยังเป็นผู้คอยสังเกตเจ้าสาวไปด้วย หากว่าเจ้าสาวนั้นดูเหมือนจะเข้าใจในเรื่องการมีคู่มากจนผิดสังเกต หญิงคนนั้นสามารถร้องเรียนกับทางหมู่บ้านว่าเจ้าสาวนั้นไม่ใช่สาวพรหมจรรย์  และทำให้การแต่งงานนี้เป็นโมฆะไปได้เลยทีเดียว


กว่าจะได้รักกับคน

ที่อินเดีย ดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยลัทธิความเชื่อต่างๆ และเป็นสังคมที่แบ่งชั้นวรรณะกันเป็นปกติ พิธีแต่งงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆอย่าง เคร่งครัด เรื่องสำคัญมากอย่างหนึ่งคือ หญิงสาวที่มีวันเกิดตรงกับตำแหน่งดาวที่เรียกว่า แมงลิค ดอชจ์ (Manglik Dosh) ได้เชื่อกันว่าเป็นผู้ที่ต้องคำสาปและจะนำมาซึ่งความตายให้แก่สามีของตน ดังนั้น เพื่อที่จะยืดเวลาการเสียชีวิตของผู้เป็นสามีหญิงสาวผู้โชคร้ายจึงต้องเข้า พิธีกับสิ่งของต่างๆ ก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ โขดหิน เพื่อเป็นการแก้เคล็ด เมื่อทำพิธีแต่งงานปลอมกับสิ่งของต่างๆเรียบร้อย สิ่งที่เข้าพิธีก็จะถูกทำลาย เท่ากับเป็นการต่อชีวิตให้ผู้เป็นสามี ไม่น่าเชื่อ ว่าแค่เกิดผิดตำแหน่งดาวแค่นิดเดียวก็ทำให้คนอื่นโชคร้ายได้ขนาดนี้


กลิ่นตัวฉันแบบนี้เธอยังจะแต่งไหม

ดินแดนที่เก่าแก่อย่างสกอตแลนด์ก็มีวัฒนธรรมที่แปลกไม่เหมือนใครอีกเช่นกัน ก่อนวันสำคัญหนึ่งวัน มิตรสหายญาติพี่น้องของทั้งเจ้าบ่าว เจ้าสาวจะแอบพาตัวว่าที่เจ้าสาวไป แล้วทำการ “โปะ” หรือทาสารพันสิ่งที่มีกลิ่นไม่น่าพึงประสงค์ลงบนตัวเธอ เช่น ไข่เน่า นมบูด ชีสเน่า การทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวเจ้าสาวเข้าสู่พันธะชั่วชีวิต โดยทำตามแนวความคิดที่ว่า ถ้าเจ้าสาวสามารถทนต่อกลิ่นเหม็นและความน่าอับอายแบบนั้นได้ ชีวิตจริงหลังแต่งงานอยู่กินกับเจ้าบ่าวแล้ว  คงไม่มีอะไรที่เธอจะทนไม่ได้อีกเป็นแน่แท้ นอกจากนั้น ยังเป็นการพิสูจน์ความรักที่มั่นคงของเจ้าบ่าวต่อเจ้าสาวอีกด้วย ว่าถึงแม้เธอจะยังตัวเหม็นขนาดไหนในงานแต่งงาน (ขนาดว่าขัดล้างตัวออกไปแล้วเมื่อวาน กลิ่นนั้นยังติดตัวไปอีกหลายวัน) เจ้าบ่าวก็ยังจะไม่เปลี่ยนใจ


ต้องอั้นกันอย่างนี้ก็มีด้วย

ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ซาบาห์ อยู่ทางเหนือของเกาะบอร์เนียว ซึ่งจัดว่าเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ที่นี่เขามีวัฒนธรรมการแต่งงานที่ค่อนข้างประหลาด  เพราะเมื่อคู่รักใหม่ทำพิธีแต่งงานเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่จะถูกญาติพี่น้องนำตัวไปขังไว้เป็นเวลานานถึง 72 ชั่วโมง โดยที่ไม่อนุญาตให้ขับถ่ายใดๆ ทั้งสิ้น  เพื่อไม่ให้คู่รักแหกกฎ  ญาติพี่น้องก็จะคอยจับตาดูและป้อนน้ำป้อนข้าวทีละเล็กละน้อยตลอดเวลา ถ้าหากว่าใครคนหนึ่งแหกประเพณีนี้ เชื่อกันว่าทั้งคู่จะต้องคำสาป และชีวิตสมรสจะล้มละลาย อีกทั้งลูกที่เกิดออกมายังจะต้องตายก่อนวัยอันควรด้วย เป็นบททดสอบความรักหลังการแต่งที่โหดจริงๆ

ฟาร์มขุนให้อ้วน

ในวัฒนธรรมส่วนใหญ่ หญิงสาวที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานมักจะอยากลดหุ่นของตน เพื่อทำให้ตนเองดูสวยงามในชุดแต่งงานให้มากที่สุด  แต่ไม่ใช่ที่ประเทศมอริเตเนีย ในทวีปแอฟริกา ประเทศนี้เขามีความเห็นว่าผู้หญิงที่มีรูปร่างใหญ่โตนั้นเป็นผู้ที่มีความ สวยงาม  ยิ่งโตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสวยมีสง่าราศีมากเท่านั้น ดังนั้น เมื่อบ้านไหนมีลูกสาวที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็มักจะส่งพวกเธอไปหาผู้อาวุโสที่เป็นผู้หญิงมากด้วยประสบการณ์ประจำ หมู่บ้าน แล้วช่วยขุนพวกเธอให้ตัวใหญ่ขึ้น ประเพณีการขุนหุ่นนั้นมีชื่อเรียกว่า เลอโบลอว์ (Leblouh) หญิงสาวเหล่านี้จะถูกเลี้ยงด้วยนมอูฐเป็นจำนวนห้าแกลลอน และธัญพืชจำนวน 4 ปอนด์ในแต่ละวัน และถ้าพวกเธออาเจียนออกมาก็จะถูกบังคับให้กินอาเจียนของตนเข้าไปอีก ถ้าไม่สามารถกินได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้ก็จะต้องโดนลงโทษ ความจริงแล้ววัฒนธรรมการขุนให้อ้วนเช่นนี้สูญหายไปนานแล้ว แต่เมื่อประเทศมอริเตเนียถูกควบคุมโดยทหารกบฏ วัฒนธรรมนี้ก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทหารพวกนี้คงจะคิดว่าผู้หญิงอ้วนๆวิ่งไล่จับได้ง่ายกว่ากระมัง

...


จับมาเป็นเมีย

การแต่งงานส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นโดยการยินยอมของ 2 ฝ่าย แต่ในวัฒนธรรมของชาวโรมานีหรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อที่เรียกว่า ยิปซีนั้น หากหญิงสาวคนใดถูกผู้ชายลักพาตัวไปเก็บไว้อยู่ที่บ้านของตนสักสองสามวัน แล้ว  เธอผู้นั้นก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของผู้ที่ลักพาตัวเธอไปโดยปริยาย ประเพณีนี้ถูกปฏิบัติกันเป็นเวลานาน เป็นร้อยๆปี และในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีเหลืออยู่ ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย  แต่สำหรับวัฒนธรรมนี้  หญิงสาวที่ถูกลักพาตัวไปจากการถูกโปะยาสลบ สามารถยอมรับได้ง่ายๆว่าผู้ที่ลักพาตัวเธอไปนั้นคือคนที่เธอจะต้องใช้ชีวิต ที่เหลือด้วย


ผู้เบี่ยงเบนความสนใจ

ในพิธีการแต่งงาน ผู้คนที่มาร่วมงานมักจะรอดูว่าเจ้าสาวนั้นสวยขนาดไหน ชุดแต่งงานเป็นอย่างไร แต่ถ้าคุณอาศัยในแถบควิวสเตนดิลทางตะวันตกของประเทศบัลแกเรียแล้ว จะเป็นการดีที่สุดหากไม่มีใครสนใจเจ้าสาวเลย ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนงานแต่ง ว่าที่เจ้าสาวจะขอให้ 1 ในสมาชิกผู้ชายในครอบครัวของตน (ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นคุณลุง) มาทำหน้าที่ “ผู้เบี่ยงเบนความสนใจ” โดยที่บุคคลผู้นั้นจะต้องแต่งหน้าเป็นสีดำ แต่งตัวและทำอย่างไรก็ได้ในงานแต่งที่ทำให้แขกที่มาร่วมงานไม่สนใจเจ้าสาว เลย หน้าที่นี้เรียกว่า สตราชนิก (strashnik) หรือผู้มีความน่ากลัว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นในลักษณะที่คุณลุงแต่งตัวและเขียนหน้าตาให้ดูประหลาดๆ รวมถึงปาสิ่งของ (เช่น อุจจาระ) ใส่ผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน ในขณะที่ว่าที่เจ้าสาวก็จะเดินตรงไปหาบาทหลวงและว่าที่เจ้าบ่าวของตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่มีประเพณีเช่นนี้ก็เพราะชาวบัลแกเรียนแถบนี้เชื่อกันว่า คนเราจะถูกคำสาปจากผู้ประสงค์ร้ายได้ง่ายที่สุด  เมื่อถูกสรรเสริญเยินยอ ดังนั้น  เพื่อปกป้องเจ้าสาวจากผู้ที่ประสงค์ร้าย  จึงต้องใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจด้วยวิธีการเช่นนี้ยังมีพิธีแต่งงานแบบ แปลกๆที่อยู่ในชนกลุ่มน้อยต่างๆทั่วโลกอีกมากมายจนไม่สามารถเอามาลงได้หมด แต่เร็วๆนี้ เห็นการแต่งงานยุคไฮเทคที่น่าสนใจมาก การแต่งงานที่ว่านี้คือ คู่บ่าวสาวจูงมือกันไปที่เครื่องแต่งงานแบบหยอดเหรียญสีชมพู เพียงแค่ป้อนข้อมูลเข้าไป เครื่องก็จะปล่อยแหวนพลาสติกออกมาวงหนึ่ง แล้วมีเสียงบอกออกมาทางลำโพงของเครื่อง ให้ทั้งคู่กล่าวคำสัญญารักต่อกัน เมื่อกล่าวเสร็จก็กดปุ่มให้เครื่องพิมพ์ใบรับรองการแต่งงานออกมาเป็นหลักฐาน แม้ว่าจะมีแค่ตู้สีชมพูยืนทื่อๆเป็นพยานโดยไม่มีบาทหลวงหรือแขกเหรื่อ แต่ถ้ามองในแง่ดี มันก็ประหยัดดีทั้งเงินทองและเวลา แต่ไม่ทราบว่าคนคิดประดิษฐ์ตู้นี้ได้คิดเผื่อไว้ด้วยหรือเปล่าว่า หากอยู่กันไม่ได้ ไปไม่รอด ตู้นั้นจะช่วยออกใบหย่าให้ด้วยหรือไม่.

...


ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน