สมเป็นผู้บริหารหนุ่มที่น่าจับตามองคนหนึ่ง ปิยะพล กัญจนาภรณ์ ทายาทรุ่นที่ 3 ของซินไฉฮั้ว วัย 32 ปี ซึ่งวันนี้นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการซินไฉฮั้ว กรุ๊ป ดูแลกิจการซักฟอกของตระกูล ที่ยืนหยัดอยู่กับสังคมกรุงเทพฯมานานกว่าครึ่งศตวรรษให้เจริญก้าวหน้าต่อไป พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนลุคของแบรนด์ให้ทันสมัย เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์โดยเฉพาะ ในชื่อใหม่ที่ดูไฮโซ้ไฮโซว่า “The Closet”

ปิยะพล หรือ “อู๋” เล่าว่า เขาเป็นลูกชายคนโต ในจำนวนผู้ชายล้วน 4 คนของ พิพัฒน์–ทัศนา กัญจนาภรณ์ โดยคุณพ่อของเขา (พิพัฒน์) เป็นลูกชายคนที่ 3 ของอากงอาม่า (กิจจา–เพ็ญพิมล กัญจนาภรณ์) ที่บุกเบิกกิจการซักแห้งในนาม ซิน  ไฉ ฮั้ว เมื่อ 77 ปีที่แล้ว และรับเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อมา “อู๋” จึงเติบโตมาในโรงงานและเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานซักแห้งมาตั้งแต่เด็กจนโต จึงมีความคิดเสมอว่า ตนในฐานะลูกชายคนโต พ่อแม่น่าจะคาดหวังให้มาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวหลังจากที่ อู๋ เรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญแล้ว จึงเข้าเรียนต่อด้านบริหาร ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบค พอจบปริญญาตรีก็ไปศึกษาต่อปริญญาโท ที่ DEVRY University ด้าน Human Resource Management ที่ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา อู๋ บอกว่า พอจบปุ๊บ คุณแม่ซึ่งดูแลหน้าร้าน (ร้านซักแห้ง) ก็รีบวางมือขอพัก แล้วให้อู๋เข้ามาสานงานต่อแทนแม่ทันที อู๋ จึงเริ่มเข้าไปเรียนรู้การบริหารงานหน้าร้านเป็นแผนกแรก จากนั้นจึงขยายงานต่อไปในโรงงานอุตสาหกรรม และทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกอีกด้วย ปัจจุบัน อู๋ จึงต้องดูแลงานทุกอย่างของบริษัทอย่างครบวงจร ทั้งตลาดซักแห้ง และตลาดฟอกสี เป็นเวลา 5 ปีแล้ว

พอถามว่าเป็นหนุ่มหน้าใส หน้าตาใจดีแบบนี้ เวลาทำงานดุเอาจริงเอาจังแค่ไหน อู๋ รีบบอกว่า “ใจดีครับ เลขาฯยังบอกเลยว่า ผมใจดีเหมือนคุณพ่อคุณแม่ บางครั้งใจดีเกินไป ซึ่งผมจะทำงานเข้ากับคนง่าย และเชื่อระบบการทำงานสมัยใหม่ในรูปแบบขององค์กร คือช่วยกันทำงาน มีการกระจายอำนาจให้ทุกคนมีความรับผิดชอบ ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมก็เรียนรู้การทำงานในรูปแบบของคุณพ่อคุณแม่ที่เคยทำๆกันมา เราดูแลกันแบบครอบครัว เพราะพนักงานบางคนเขาอยู่กับเรามานาน 30-40 ปีแล้ว และคนเหล่านี้ล้วนเป็นแรงงานมีฝีมือจริงๆ ซึ่งหายาก เราจึงต้องดูแลถึงที่สุด นอกจากความสบายทางกายแล้วต้องมีความสบายทางใจด้วย เราก็ดูแลเท่าที่ทำได้ครับ เพราะคุณพ่อจะบอกเลยว่า พนักงานซินไฉฮั้ว มีความเป็นรอยัลตี้ รักองค์กร เราจึงต้องดูแลเขาให้ดี”

เมื่อถามถึงแผนในอนาคต อู๋ บอกว่า ตนชอบงานบริการ เพราะงานที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นงานบริการ จะให้ขายอะไรนึกไม่ออก ยังไม่คิดจะมีธุรกิจของตนเอง นอกจากการต่อยอดกิจการของครอบครัว ซึ่งตอนนี้มีโครงการเกี่ยวกับระบบการเช่าผ้าในโรงแรม, โรงงาน และโรงพยาบาล รวมไปถึงโครงการทำความสะอาดบ้าน, อาคารให้ครบวงจรขยันเอาถ่านซะขนาดนี้ คนเป็นพ่อเป็นแม่คงภูมิใจน่าดู อู๋ กลับบอกว่า เชื่อว่าพ่อแม่ภูมิใจลูกทุกคน ไม่ใช่แค่ทำงานสานต่อธุรกิจของครอบครัว แต่ท่านเคยบอกว่า ดีใจมากที่ลูกๆ ไม่ติดยา, ไม่เป็นอันธพาล เป็นคนดีของสังคม เรื่องเรียนเรื่องรวยหรือดังมาทีหลัง เราอยู่ในแบบของเรา เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ พี่น้องรักกันแค่นี้ก็พอใจแล้ว...ถือเป็นหนุ่มคิดบวกที่มีคุณภาพชีวิตคับแก้วจริงๆ.

...