ถ้าโลกเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง คนที่ไม่เคยออกเดินทางก็เหมือนได้อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ลองเปิดหนังสือเพิ่มขึ้น เราจะรู้ว่าโลกใบนี้มีอะไรที่น่าสนใจและน่าค้นหาอีกมากมาย จนอยากเปิดหนังสือหน้าต่อไปอยู่เรื่อยๆ

ไม่ต่างกับการเดินทางไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ในช่วงเวลาพีก อย่างฤดูใบไม้เปลี่ยนสี กับทริปสุดเอกซ์คลูซีฟ “Only in Korea, Especially for You” โดยองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ร่วมกับเคทีซี พาลัดฟ้าไปสัมผัสมุมมองใหม่เหนือระดับ ผ่านวัฒนธรรม อาหารและกิจกรรมเพื่อสุขภาพ ชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั้งเมือง แถมได้ปรับโหมดเปลี่ยนบรรยากาศไปรับลมหนาวให้ชุ่มชื่นหัวใจ ยิ่งทำให้อยากออกไปเปิดโลกมากยิ่งขึ้น

ทันทีที่กัปตันสายการบินโคเรียนแอร์ ประกาศว่า เครื่องกำลังจะลงจอดที่สนามบินอินชอน เวลาปลายทาง 04.45 น. ผู้โดยสารบนเครื่องต่างหันมามองหน้ากัน เปิดบทสนทนาแรกด้วยคำว่า “อันยองฮาเซโย” แล้วก็ยิงบทสนทนาถัดไปในเรื่องเดียวกันทันที คือ “มาลุ้นกันว่าจะเข้าประเทศได้หรือไม่” การเดินทางในไฟลท์เช้าตรู่ทำให้คิวรอผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองค่อนข้างยาว แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลานานมาก คณะของเราผ่านมาได้แบบฉลุย

...

จากสนามบินอินชอนเราเดินทางเข้าเมืองด้วยรถบัส ทอดสายตามองไปตลอดสองข้างทาง เห็นใบไม้เปลี่ยนสีสลับใบ ทั้งสีเหลือง ส้ม แดง ปรากฏเหมือนภาพวาดในเฟรมที่ติดอยู่บนผนัง

ด้วยหัวใจหลักของการย่ำแดนกิมจิครั้งนี้ การันตีจากโปรแกรมเที่ยวแบบสุดเอกซ์คลูซีฟ ที่ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก หมุดหมายแรกของสถานที่เช็กอินคือ พิพิธภัณท์ซาน ในเมืองวอนจู พิพิธภัณฑ์ศิลปะและสถาปัตยกรรมผสมผสานกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ และที่ตั้งชื่อว่า SAN เป็นการตั้งตามอักษรตัวแรกของคำว่า Space, Art, and Nature มีปรัชญาการออกแบบในการเชื่อมโยงโลก ท้องฟ้า ดิน และผู้คนเข้าด้วยกัน จากศูนย์ต้อนรับของพิพิธภัณฑ์ เราเดินผ่านสวนดอกไม้ สวนน้ำ อาคารหลัก สวนหิน บริเวณด้านนอก ทั้งได้สัมผัสสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งของศิลปินระดับโลก อาทิ ประติมากรรม ศิลปะที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันกว้าง ใหญ่ของสวนดอกไม้ ซุ้มประตูสีส้มตั้งตระหง่าน ต้อนรับผู้มาเยือน ขณะที่ภายในจัดแสดงนิทรรศการ วิวัฒนาการของกระดาษ และแกลเลอรีรวมผลงานของ James Turrell รวมถึงมีคาเฟ่ชิกๆให้นั่งชมวิวทิวเขาและความงดงามของต้นไม้เปลี่ยนสีด้วย

ออกจากพิพิธภัณฑ์ไปต่อกันที่ หมู่บ้านวัฒนธรรม Korean Folk Village สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเกาหลี ผ่านหมู่บ้านตั้งแต่สมัยโชซอน ที่ประกอบด้วยบ้านจริงที่ย้ายมาจากจังหวัดต่างๆ และมีสร้างขึ้นใหม่อย่างพิถีพิถัน มีทั้งบ้านเรือนทั่วไปและบ้านของชนชั้นสูง ภายในบ้านตกแต่งไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ตามชนชั้นของบ้านหลังต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีเวทีการแสดงและดนตรีพื้นเมืองให้นั่งชมจนไม่อยากละสายตา

...

เยือนเกาหลีทั้งทีแล้ว ต้องไม่พลาดสวมบทนางในใส่ชุดฮันบกเก๋ๆ เหมือนในซีรีส์เกาหลี เข้าไปเที่ยว พระราชวังชังด็อกกุง พระราชวังหลักของกษัตริย์หลายพระองค์ของราชวงศ์โชซอน ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1997 และได้รับการดูแลรักษาไว้อย่างดีจนถึงปัจจุบัน ภายในประกอบด้วยพื้นที่สาธารณะ อาคารพระราชวังสำหรับราชวงศ์ สวนบีวอนหรือสวนฮูวอน และยังมีสวนหย่อมด้านหลังที่มีต้นไม้ยักษ์อายุกว่า 300 ปี ใกล้ๆกันมีศาลาพักผ่อนที่สะท้อนเงาลงในบ่อน้ำ ลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพกันเพลินไปเลย

อีกไฮไลต์สำคัญของการเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลี คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอุมซัมซุง ก่อตั้งโดยมูลนิธิวัฒนธรรมซัมซุงเมื่อปี 1965 มุ่งที่จะรักษามรดกทางวัฒนธรรมและเผยแพร่ให้กับประชาชน ได้ศึกษาเรียนรู้ตัวอาคารดีไซน์สไตล์โมเดิร์น จัดแสดงนิทรรศการศิลปะของเกาหลี ทั้งในแบบดั้งเดิมและของสะสมที่หายาก และศิลปะแบบทันสมัย ผลงานจากทั้งศิลปินเกาหลีและศิลปินต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะตัวอักษรจากพู่กัน, ภาพวาด, ศิลปะเซรามิก, งานหัตถกรรมโลหะ

...

แล้วก็มาถึงช่วงเวลาเติมความสุข สร้างสีสันให้ชีวิต รูดบัตรกันรัวๆ โดยเฉพาะบัตรเครดิตเคทีซี ที่มีโปรโมชันร่วมกับ KTO ช็อปกระจายได้แต้มกระจุย ทั่วย่านต่างๆ ทั้ง เมียงดง ไม่ไกลกันนัก มีห้างล็อตเต้ที่รวมร้านค้าปลอดภาษีชั้นนำระดับโลก จากนั้นก็เป็น ย่านกังนัม ที่เรียงรายไปด้วยสินค้าแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์ คาเฟ่ ร้านค้า ร้านอาหาร ตกแต่งอย่างมีสไตล์ และที่นี่ยังมี Sulwhasoo Spa สปาไฮเอนด์ ของคนเกาหลี ตั้งอยู่ภายใน Sulwhasoo Flagship Store ให้สัมผัสประสบการณ์การดูแลต่อต้านริ้วรอยจากสมุนไพรเกาหลีระดับพรีเมียม โดยนักบำบัดที่มีประสบการณ์ แอบกระซิบว่าใครจะมาทำสปาที่นี่ต้องจองล่วงหน้านานถึง 3 เดือนทีเดียว

...

และสำหรับเกาหลี วัฒนธรรมล้ำเลิศก็คือ อาหารเกาหลี แน่นอน ทริปนี้ผู้จัดแจกพิกัดร้านอาหารหรู เมนูชั้นเยี่ยมไว้ต้อนรับ มีทั้ง ทัคคาลบี หรือ ไก่บาบีคิวในกระทะร้อน อาหารเลื่องชื่อของเมืองชุนชอน,ชาบูวาไรตี้ เมนูพื้นเมืองของคาบสมุทรเกาหลีตั้งแต่สมัยมองโกเลีย, KING KRAB SET อาหารฟิวชันที่เสิร์ฟปูขนนึ่งสดๆ จัดมาพร้อมสารพัดเครื่องเคียง ทั้ง สลัด ปลาดิบ เทมปุระ ซุปซีฟู้ด ไก่ตุ๋นโสมทรงเครื่อง อาหารเข้าวังหลวง ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรเกาหลีและเครื่องยาจีน, ฮันจองซิก อาหารชุดเกาหลีที่มีต้นกำเนิดมาจากในวัง หรือบ้านขุนนางสมัยก่อน, คาลบี เมนูปิ้งย่าง บนเตาถ่านและปิดท้ายด้วย Steambowl ซีฟู้ดและหมูตุ๋นหม้อไฟ ยกทะเลเดือดๆมาไว้ตรงหน้า กินคู่กับเครื่องเคียงผัก อูด้ง เส้นบุก และข้าวสวย เรียกว่าสัมผัสอาหารเกาหลีกันแบบจุกๆๆๆๆ

เที่ยวเกาหลีคราวนี้ทำให้รู้เลยว่า ทำไม Soft Power ของเกาหลีจึงกลายเป็นวัฒนธรรมละมุนไปทั่วโลก เพราะเกาหลีทำให้เราซึมซับ Soft Power แบบไม่รู้ตัว ประเภทตื่นเช้ามาก็หลงรักเกาหลีไปเสียแล้ว.

คลิกอ่านคอลัมน์ “เที่ยวตามตะวัน” เพิ่มเติม