พระราชวังตุยเลอรีส์ (Palais des Tuileries) เคยตั้งอยู่ในกรุงปารีส ที่ฝั่งแม่น้ำแซนด้านตะวันออก แต่ถูกทุบรื้อทิ้งและกลายสภาพเป็นสวนตุยเลอรีส์ไปแล้ว เนื่องจากถูกกลุ่มปฏิวัติ “คอมมูนปารีส” เผาทำลาย และสุดท้ายรัฐสภาฝรั่งเศสก็มีมติให้รื้อถอนซากวังทั้งหมดทิ้งในปี ค.ศ.1882 พื้นที่พระราชวังก็กลายมาเป็นสวนดังในปัจจุบัน
เรื่องที่คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จะนำมาเสนอในวันนี้คือ เรื่องของ “ปิศาจแดงตัวเล็ก” แขกไม่ได้รับเชิญผู้สิงสู่อยู่ใน (อดีต) พระราชวังอันยิ่งใหญ่แห่งนี้นี่เอง
ปิศาจแดงตัวเล็ก หรือปิศาจแดงแคระ (Le Petit Homme Rouge หรือ Little Red Man) ไม่มี ใครแน่ใจว่าคืออะไรกันแน่ อสูร ก๊อบลิน หรือผี แต่ไม่ว่าจะคืออะไร มันก็อยู่ในรูปของชายร่างเล็ก ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัว หลังค่อม จมูกงุ้มเหมือนตะขอ หัวเบี้ยวผิดรูป มีเขา (บางคนยังบอกอีกว่าเท้าเป็นกีบ) สวมชุดสีแดง ตั้งแต่หมวกยอดแหลม (หมวกฟรียอง-Phrygian cap หรือหมวกแห่งเสรีภาพ) เสื้อผ้า จนจดเท้า สิงสู่อยู่ ณ ทางเดิน และโถงพักที่ระเบียงวังแห่งนี้
ชาววังทุกคนกลัวปิศาจแดง ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมายามใดที่มันปรากฏ หมายถึงกำลังจะเกิดภัยพิบัติ หรือหายนะใหญ่หลวง จะว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายก็ไม่ผิด จนคนทั้งหลายเพิ่มฉายาแก่ภูตพราย หรือผีตนนี้อีกอย่างว่า “ภูตแดงแห่งโชคชะตา (The Little Red Man of Destiny)”
ว่ากันว่า มันปรากฏตัวครั้งแรกในศตวรรษที่สิบหก ในรัชสมัยของพระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิชิ สุภาพสตรีชั้นผู้ดี ชาวอิตาลี ซึ่งเสกสมรสกับพระเจ้าอองรีที่ 2 กลายเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศส และพระนางนั่นเองที่มีพระราชเสาวนีย์ให้สร้างพระราชวังแห่งนี้
...
ไม่มีใครรู้ว่า เหตุใด หรือทำไมที่นี่จึงมีปิศาจสิงสู่ ทั้งที่เป็นพระราชวังสร้างใหม่ จึงมีคนพยายามให้ต้นเหตุเอาไว้หลายอย่าง ทั้งแบบที่จู่ๆก็มาเอง และอื่นๆ แต่เรื่องที่ดูจะมีน้ำหนักมากหน่อย เห็นจะเป็นเรื่องหนึ่งที่เล่าว่า หลังการสวรรคตด้วยอุบัติเหตุอย่างทันด่วนของพระเจ้าอองรีที่ 2 พระสวามี พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิชิ ซึ่งขึ้นว่าราชการในฐานะพระพันปีหลวง อาจสั่งให้บริวารนักฆ่าคนหนึ่ง ชื่อฌอน (จอห์น คนถลกหนัง Jean l’corcheur หรือ John the Skinner) ไปจัดการฆ่า ศัตรูทางการเมืองของเธอ ฌอนน่าจะรู้ความลับของราชินีองค์นี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขีด...รู้มากเกินไป ทำให้สมเด็จพระราชินีบัญชาให้ปิดปากด้วยการสังหารเสีย โดยชายชื่อ นือวิล (Neuville) เป็นผู้ลงมือในสวนอันสงัดเงียบของพระราชวังตุยเลอรีส์ นือวิลทิ้งศพของฌอนไว้ในสวน แต่ไม่กี่วันต่อมาเมื่อเขากลับมาเก็บศพของฌอนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ศพที่หายไปสร้างความกังวลแก่ราชินี จนต้องให้หาโหราจารย์เข้ามาทำนายอย่างลับๆ ผลคือหมอดูทูลราชินีว่า เขาเห็นภาพนิมิต ภาพนั้นบอกกล่าวว่า ชาววังตุยเลอรีส์ทุกคนจะตายอย่างสาหัส เขาอ้างว่า ฌอนจะหลอกหลอนตุยเลอรีส์จนกว่าที่นี่จะถูกทำลาย หลังจากนั้นทุกครั้งที่เหตุการณ์น่ากลัวกำลังจะเกิด ปิศาจแดงก็จะปรากฏตัวให้ชาววังตุยเลอรีส์เห็น โดยมีพระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิชิ เป็นหมายเลข 1 พระนางได้พบเจ้าปิศาจแดงไม่นานก่อนเกิดการสังหารหมู่พวกอูเกอโนต์ (the Huguenots) ซึ่งบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศส
หรือต่อมาก่อนเกิดเหตุร้าย พระเจ้าอองรีที่ 4 (Henry IV) และมหาดเล็กก็เห็นมันก่อนที่พระองค์เองจะถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1610 อีกครั้งที่น่าเล่าคือ คราวที่นางกำนัลของพระนางมารี อังตัวเนต (Marie Antoinette) เจอเข้ากับปิศาจแดง ไม่กี่วันก่อนมีการบุกโจมตีตุยเลอรีส์ในปี ค.ศ.1792 ซึ่งนำไปสู่การจับกุมและการประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระนางมารี อังตัวเนตต์ในเวลาต่อมา
...
ปิศาจแดงถูกพบเห็นกันอีกครั้งโดยทหารยามรักษาการณ์หน้าคุกชื้นแฉะที่พระนางมารี อังตัวเนตต์ถูกขัง ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประหาร ในรายงานเล่าว่า มันดูมีความยินดีกับทุกสิ่งรอบข้าง อาจเป็นเพราะยุคนั้นเป็นยุคของการนองเลือด
แม้แต่นโปเลียน โบนาปาร์ต ก็ได้พบกับปิศาจแดง แต่การพบกันของสองฝ่ายกลับ ไม่ใช่การนำมาถึงเหตุร้ายทุกครั้ง เรื่องเล่ากันว่าปิศาจแดงมาปรากฏตัวตั้งแต่นโปเลียน โบนาปาร์ต ยังเป็นนายพลและสุดท้ายกลายเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส มันมาหาเขาหลายครั้ง และมีอีกหลายคนเชื่อว่ามันมาคอยแนะนำในยามออกรบ
เริ่มตั้งแต่การที่ปิศาจแดงมาพบนโปเลียนครั้งแรกในปี ค.ศ.1798 ระหว่างเดินทางไปรบที่อียิปต์ มันมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาและบอกว่า เฝ้าดูนโปเลียนมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ทำนายอนาคตว่าเขาจะได้รับชัยชนะในยุโรปอีกตลอด 10 ปีถัดจากนั้น มันบอกแม้แต่เรื่องทหารของเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่งและการรบคราวนี้ก็จะล้มเหลว
...
คาดกันว่าเจ้าสิ่งประหลาดนี้น่าจะได้แนะนำ ให้คำปรึกษาจนทำให้นโปเลียน โบนาปาร์ต ได้ชัยชนะมากครั้ง ไม่ว่าจะในสงครามวอแกรม (Battle of Wagram) การรบแตกหักกับทัพอังกฤษและออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นใน 5 และ 6 กรกฎาคม 1809 และในปี 1812 นโปเลียนพิชิตและควบคุมยุโรปเกือบทั้งหมดจริงดังเจ้าภูตพรายบอกไว้
นโปเลียนอาจเชื่อมั่นในปิศาจแดง กระนั้นคนเราในยามขึ้นสูงสุดก็ย่อมมีความคิดเข้าข้างตัวเอง ดังนั้นเมื่อปิศาจแคระมาหาพระองค์อีกครั้ง คราวนี้พระองค์กลับเมินเฉย มีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งตอนที่นโปเลียนกำลังวางแผนจะเข้าบุกรัสเซียอยู่รอมร่อ มันก็มาปรากฏตัว ที่ปรึกษาแห่งรัฐของนโปเลียน หลุยส์ มาติเยอเคานต์ โมล (Louis Mathieu Count Mole) เป็นสักขีพยานในการเผชิญหน้าคราวนี้
“เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.1812 (ฤดูหนาวก่อนการรบในรัสเซีย) มีชายผิวแดงตัวเล็กโผล่มาจากไหนไม่รู้ มันถามทหารยามว่า จะขอพูดกับจักรพรรดิได้หรือไม่ ทหารยามตอบห้ามเข้า ชายนั้นก็ผลักทหารกระเด็นแล้ววิ่งเข้าไปในที่พักของนโปเลียน อย่างรวดเร็ว เขาบอกกับมหาดเล็กหน้าห้องว่า
...
“บอกจักรพรรดิว่าชายผิวแดงตัวเล็กที่เขาเห็นในอียิปต์ต้องการพบเขาอีกครั้ง”
นโปเลียนได้ยินพอดีก็เอ่ยปากอนุญาต ชายตัวเล็กก็เข้าไปหาและพูดคุยกันแค่สองคนในห้องส่วนตัว จากคำไม่กี่คำที่ลอยมากระทบหูพวกที่เงี่ยฟังอยู่โดยรอบ ได้ยินเหมือนนโปเลียนจะอ้อนวอนขอบางสิ่งที่ถูกปฏิเสธ ในที่สุดประตูก็เปิดผาง ชายเสื้อแดงปรี่ออกมา เขาเดินผ่านทางเดินอย่างรวดเร็วและหายวับไปบนบันไดวัง
เป็นไปได้ว่าปิศาจมาเตือนนโปเลียน ค้านไม่ให้พระองค์วางแผนรุกรานรัสเซีย แต่ครั้งนี้การปรากฏของมันกลับเป็นลางร้าย น่ากลัวว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จะถึงวาระแห่งการล้มเหลว โปเลียนยกทัพเข้าบุกรัสเซียเพราะต้องการรบกับซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 กองทัพที่พระองค์รวบรวมมามีขนาดมหึมา มีทหารถึงครึ่งล้านคน แต่พระองค์ก็แพ้! เมื่อนโปเลียนถอดใจถอยจากรัสเซีย ทัพทหาร 500,000 คน เหลือรอดเพียง 10,000 คน
ต่อจากนั้นนโปเลียนก็พ่ายแพ้ต่อเนื่อง เมื่อมาถึงจุดนี้ ปิศาจก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันแสดงความเสียใจและบอกนโปเลียนว่า เขาเหลือเวลาเพียง 3 เดือนก่อนที่การปกครองของเขาจะสิ้นสุดลง พันธมิตรจะบุกปารีสและเขาจะถูกเนรเทศไปยังเกาะร้างที่ห่างไกล บทสนทนานี้ทหารสาบานว่าเขาได้ยินจริง
“ท่านมี...เวลาสามเดือนในการจัดการแผนของท่านให้เสร็จ หรือ...ปฏิบัติตามข้อเสนอสันติภาพที่พันธมิตรเสนอ”
และก็เป็นตามที่ปิศาจแดงทำนายไว้ ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ.1814 ฝ่ายพันธมิตรบุกปารีส และในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ.1814 นโปเลียนถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ พระองค์ถูกส่งตัวไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา จนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี 1821
ปิศาจแดงปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในเดือนพฤษภาคมปี 1871 เมื่อพระราชวังตุยเลอรีส์ถูกบุกปล้น และถูกเผาจนราบเป็นหน้ากลอง บันทึกเรื่องการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายนี้ ถูกเขียนขึ้นโดยนักข่าวที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ดูแลแขกที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ในเวลานั้น เล่าว่า
คืนหนึ่ง ขณะที่เดินออกตรวจรอบบริเวณตามหน้าที่ เขาเดินเลียบไปตามระเบียงซึ่งเงียบนิ่ง โดยถือโคมไฟในมือ ครั้นเมื่อถึงโถงระเบียงส่วน the Galerie d’Apollon ก็สังเกตเห็นร่างมนุษย์ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ร่างนั้นกอดอก หัวหลุบต่ำ ราวกับมีความทุกข์ท่วมทับ เจ้าหน้าที่คนนั้นคิดว่าเป็นหัวขโมยจึงวิ่งเข้าหาผู้บุกรุก ร่างนั้นเหมือนจะรู้ตัว มันหันหลังแล้วหายตัวไป เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น คิดว่าประสาทสัมผัสหลอกตาเสียแล้ว แต่ครั้นเมื่อไปถึงโถงใหญ่ที่ระเบียงนั้น เขาก็เห็นร่างเดิมอีกครั้งในท่าเศร้าโศกแบบเดียวกัน เขาวิ่งเข้าหาอีก และมันก็หายวับไปกับตาอีก พลันนั้นเอง เจ้าหน้าที่จึงหวนนึกถึงตำนานปิศาจแดงแห่งพระราชวังตุยเลอรีส์ขึ้นมาได้ เขารีบวิ่งไปหากลุ่มยามที่ทำหน้าที่ด้วยกันในคืนนั้น แจ้งสิ่งที่เขาพบ และช่วยกันออกตามหาปิศาจก๊อบลิน แต่ก็ไร้ผล
นั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่มีการพบเห็นเพราะในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1871 วังตุยเลอรีส์ก็ถูกเผา เปลวไฟพลุ่งออกมาจากหน้าต่างทุกบานของอาคารวังค่อยๆโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ ไฟไหม้ต่อเนื่องถึง 48 ชั่วโมง เผาพระราชวังแสนงามให้ถึงกาลพินาศ
พระราชวังตุยเลอรีส์สูญสลายลงพร้อมกับการหายไปของปิศาจแดง หลัง จากนั้นไม่เคยมีใครพบเห็นเขาอีกเลย.
โดย : อัปสรศิลา