ทริปตะลุยบ้านนอกฝรั่ง...คราวนี้ เราเริ่มต้นกันที่อัมสเตอร์ดัม...เมืองหลวงหลากสีสันของเนเธอร์แลนด์ ที่มากี่ครั้งก็ยังไม่เบื่อ โดยเฉพาะความสวยงามของลำคลองสายต่างๆ และสีสันยามค่ำคืนในถนน Red Light หรือย่านโคมแดง ที่ไม่เคยหลับใหลทั้งจากแสงสีและกลิ่นกัญชาอบอวล
หลังนอนพักเอาแรงในบ้านหลังเล็กๆริมคลอง Single ซึ่งเป็นคลองชั้นในสุดของเมือง คนละคลองกับ Singlegracht ซึ่งเป็นคลองสายหลัก วันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปเที่ยวหมู่บ้านกังหันลม (Zaanse Schans) ในเขตเมืองซานไดค์
เช้านี้อากาศดี อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 8-12 องศา พวกเราเตรียมความพร้อมมาอย่างดีสำหรับเสื้อผ้าที่ให้ความอุ่น เพราะไม่แน่ใจว่า ที่ซานเซ สคันส์ ซึ่งอยู่กลางแจ้งอาจมีลมทำให้หนาวเย็นกว่าในเมือง
ระหว่างทางเราแวะเที่ยวที่ เมืองโฟเลนดัม (Volendam) ซึ่งกำลังมีงานเทศกาลประจำปีพอดี เทศกาลเฉลิมฉลองของเมืองนี้ ว่ากันว่า นอกจากสถานที่ทำงานต่างๆจะหยุดต่อเนื่องกันถึง 4 วันแล้ว ร้านค้าต่างๆก็จะปิดเพื่อออกมาร่วมเฉลิมฉลอง บางคนบอกว่าเป็นช่วงของการปิดเมืองเพื่อการดื่ม...และความสุข
...
โฟเลนดัมเป็นเมืองเก่า มีชื่อเสียงในฐานะเมืองชายฝั่งทะเลที่ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญมาก่อน ชาวเมืองส่วนใหญ่จะเป็นชาวประมงและเกษตรกร ในช่วง 5-10 ปีมานี้ นอกจากเป็นเมืองท่าแล้ว โฟเลนดัม...ยังเป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสทัศนียภาพอันสวยงามริมฝั่งทะเล เอเซลเมร์ ที่จะไปเชื่อมสู่ Wadden Sea ก่อนออกสู่ทะเลนอก North sea โดยทะเลในทั้งหมดในแถบนี้รวมกันมีชื่อขนานนามอีกอย่างว่า ZuiderZee หรือทะเลใต้ Southern Sea จึงทำให้โฟเลนดัม มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าเป็นเมืองไข่มุกแห่งทะเลใต้ หรือ ไข่มุกแห่งซุยเดอร์ ซี
บรรยากาศของเมืองในวันที่เราไปถึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ผู้คนพากันแต่งกายชุดพื้นเมืองแบบชาวดัตช์ ที่โดยปกติคนในเมืองนี้ก็นิยมที่จะคงความเป็นเอกลักษณ์การแต่งกายพื้นเมืองกันอยู่แล้ว แต่ในเทศกาลเฉลิมฉลองนี้ บางคนก็แต่งตัวเป็นชุดแฟนซี ออกมาเดินเที่ยวเล่น ดื่มเบียร์กันอย่างที่ต้องบอกว่าเต็มที่สุดๆ บริเวณจัตุรัสใจกลางเมือง เนรมิตให้เป็นเหมือนสวนสนุก มีเครื่องเล่นหลายชนิดสำหรับหนุ่มสาวและเด็กๆ รวมไปถึงเกมยิงปืน ปาเป้า มีรางวัลเป็นทั้งตุ๊กตาและขนม
ขณะที่บริเวณท่าเรือที่เรียกว่า Volendam harbor เต็มไปด้วยเสียงเพลงกระหึ่มและผู้คนพากันออกมาร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ถือเป็นประสบการณ์ระหว่างการเดินทางที่น่าจดจำอีกครั้ง
เราเดินเล่นในโฟเลนดัมกันพักใหญ่ ทั้งเล่นเกม กินไส้กรอก รวมไปถึงอาหารพื้นเมืองที่เรียกว่าปาตั๊ด (Patat) หรือมันฝรั่งทอดแบบฮอลแลนด์ เป็นมันฝรั่งแบบเนื้อมันเน้นๆไม่มีแป้งปน ทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน ได้ที่ กินกับมายองเนสเข้มข้น หรือใครชอบซอสมะเขือเทศก็สามารถใช้แทนได้ ปิดท้ายด้วยไส้กรอกย่าง แกล้มเบียร์อัมสเทลของดัตช์...มันเป็นอะไรที่มีความสุขเอามากๆจนอยากจะนอนแผ่หลา ผึ่งพุงกันเลยทีเดียวเชียว
จากโฟเลนดัม...ขับรถต่อไปอีกราว 20 นาที เราก็มาถึงซานเซ สคันส์ หมู่บ้านกังหันลมที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นหมู่บ้านที่มีการอนุรักษ์กังหันลม และบ้านเรือนดั้งเดิมของฮอลแลนด์ ลักษณะเหมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของชาวดัตช์ในอดีต โดยเฉพาะกังหันลมโบราณที่เคยใช้ในการเกษตรและอุตสาหกรรมของฮอลแลนด์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17-18 สมัยนั้น ว่ากันว่าใช้กังหันในการผลิตน้ำมันจากดอกมัสตาร์ด และผันน้ำเข้าในนา
...
เราเดินเรื่อยๆเข้าไปในหมู่บ้านกังหันลม สะดุดตากับรองเท้าไม้ขนาดยักษ์ สีเหลืองสดตั้งตระหง่าน ใช่เลย...ที่นี่ละ...พิพิธภัณฑ์รองเท้าไม้ ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ Netherlands
รองเท้าไม้ของที่นี่ ถ้าเป็นข้างจะเรียกว่า Klomp แต่ถ้าเป็นคู่จะเรียกว่า Klompen หรือที่ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Clogs คนดัตช์ใส่รองเท้าไม้มานานกว่า 700 ปีแล้ว เพราะรู้สึกว่ารองเท้าไม้สามารถให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวและให้ความเย็นสบายในฤดูร้อน
Klompen ของเนเธอร์แลนด์ ทำจากต้นไม้ที่ชื่อว่า ป๊อบล่า ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งเมืองหนาวที่ไม่แตกง่าย สมัยก่อนรองเท้าเหล่านี้ไม่มีลวดลายอะไรมากนัก แต่หลังๆมีการเขียนลวดลายให้มีสีสันน่าสวมใส่มากขึ้น โดยรองเท้าไม้ คู่แรกที่มีการวาดและใช้สีสัน เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1550 โดยช่างวาดชื่อ Pieter Brueghl ต่อมาการวาดสีสันในรองเท้าได้กลายเป็นประเพณี เวลาที่ผู้ชายจะขอสาวแต่งงาน จะวาดรองเท้าไม้สวยๆเพื่อเป็นของขวัญแก่เจ้าสาว
นอกจากพิพิธภัณฑ์รองเท้าไม้แล้ว ในหมู่บ้านกังหันลมนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ เช่น พิพิธภัณฑ์เบเกอรีชีสฟาร์ม นาฬิกา ร้านขายเครื่องกาแฟและชา ฯลฯ เราสามารถใช้เวลาได้ทั้งวันในซานเซ สคันส์...ก่อนที่จะเดินทางกลับมาสัมผัสสีสันแห่งรัตติกาลในอัมสเตอร์ดัม...อีกครั้ง...!!!
...