ไม่ได้นัดพบหรือไปตามหาใครที่ดูไบ แต่เพราะ คุณแจง...บิ๊กบอสใหญ่แห่ง Travel vision and education เอ่ยปากชักชวนให้ไปดูความยิ่งใหญ่อลังการของมหานครดูไบ ซึ่งกำลังเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่เริ่มจะอินเทรนด์ในช่วงนี้...
เริ่มตะลุยดูไบ...กันที่ ตึกที่สูงที่สุดในโลก...อย่าง เบิร์จ คาลิฟา ที่ตั้งตระหง่านเสียดฟ้ากลางมหานครดูไบ ว่ากันว่าถ้ามาดูไบแล้วไม่ได้ขึ้นไปบนตึกนี้ ถือว่ามาไม่ถึง
เบิร์จ คาลิฟา หรือเดิมเรียกว่า เบิร์จ ดูไบ (Burj Dubai) เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อก็เพราะ นายกรัฐมนตรี หรือเจ้าผู้ครองนครดูไบ คือ ท่าน มุฮัมมัด บิน รอชิด อัลมักตูม ไปกู้เงินจาก ชีกห์ คาลิฟา บิน ซาเอ็ดนาห์-ยัน เจ้าผู้ครองนครอาบูดาบี และ ประธานาธิบดีคนที่สองแห่งสหรัฐ-อาหรับเอมิเรตส์ มาพัฒนามหานครดูไบรวมทั้งสร้างตึกนี้ให้แล้วเสร็จด้วย เลยต้องตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าของเงินเขาสักหน่อย
...
เบิร์จ คาลิฟา ใช้เวลาสร้างถึง 6 ปีเต็มๆ ใช้เงินไปประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 50,000 กว่าล้านบาท สถาปัตยกรรมของตึกนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากดอกไม้ทะเลทราย สร้างเป็นรูปทรงเรขาคณิต ที่มีฐานเป็นรูปตัว Y ทำให้มีความมั่นคงแข็งแรง ความสูงของตึก 828 เมตร ถ้าเทียบเป็นชั้นเป็นตึกสูง 163 ชั้น สูงกว่าหอไอเฟลประมาณ 3 เท่า...ยิ่งใหญ่ขนาดไหน คิดเอาเองละกัน
ภายในตึกมีทั้ง สำนักงาน, ภัตตาคาร, คอนโด, สระว่ายน้ำแบบเอาต์ดอร์, หอดูดาวกลางแจ้ง หรือแม้แต่สุเหร่า ก็อยู่ในตึกนี้ด้วย เบิร์จ คาลิฟาไม่ได้มีชื่อเสียงแค่เป็นตึกสูงที่สุดในโลก แต่ยังเป็นตึกที่มีจุดชมวิวสูงที่สุดในโลก มีลิฟต์สูงที่สุดในโลก ความเร็วของลิฟต์ไม่ต้องพูดถึง 10 เมตรต่อวินาที ตอนที่ขึ้นไปชมวิวบนจุดชมวิวชั้นที่ 124 จับเวลาได้ประมาณแค่ 1 นาทีเท่านั้น
ออกจากเบิร์จ คาลิฟา ได้เวลาแดดร่มลมตก เห็นนักท่องเที่ยวพากันมายืนรอหน้าลานกว้าง อีกด้านของตึกที่ติดกับ ดูไบ มอลล์ ถามไถ่ได้ความว่า เขามารอดู น้ำพุเต้นระบำ หรือที่เรียกว่า Dubai Fountain ซึ่งแน่นอน ต้องไม่ธรรมดาเพราะรัฐบาลดูไบ ทำอะไรถ้าไม่ที่สุดในโลกจะหาคนไปเที่ยวชมอะไรได้ ในเมืองที่แทบไม่มีประวัติศาสตร์ใดๆมากมายนัก
Dubai Fountain หรือ น้ำพุแห่งดูไบ ได้รับการประกาศให้เป็นน้ำพุที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในทะเลสาบบุรจญ์คาลิฟา ด้วยความยาวกว่า 270 เมตร หรือประมาณ 2 สนามฟุตบอล ใช้น้ำมากกว่า 80,000 ลิตร พุ่งขึ้นไปบนอากาศด้วยความสูงเท่ากับตึก 50 ชั้น
น้ำพุแห่งดูไบ ใช้งบประมาณในการสร้างถึง 220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 7,200 ล้านบาท ...ในช่วงเวลาเปิดแสดงจะใช้ไฟมากกว่า 6,600 ดวง โปรเจกเตอร์สี 50 ตัว ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมเปิดเพลงเป็นจังหวะ จนเหมือนน้ำพุนั้นเต้นระบำอยู่ แบบว่า...ถึงไม่มีจอร์จ ก็ต้องบอกว่า มันยอดส์มาก
...
ใครที่ไปเที่ยวดูไบ ต้องหาเวลาไปชมน้ำพุแห่งดูไบให้ได้ เพราะเขาเปิดแสดงทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเย็น-เที่ยงคืน โดยจะเริ่มทุกๆครึ่งชั่วโมง รอบละประมาณ 5 นาที ไปดูได้ทุกวัน...ไม่เว้นเสาร์-อาทิตย์ แถมดูฟรีอีกด้วย...
มื้อค่ำวันนี้ ทาง Travel vision จัดเต็มด้วยอาหารจีนเลิศรส ที่ภัตตาคารจีนขึ้นชื่อในดูไบ มีทั้งเป็ดปักกิ่ง ไก่ตุ๋นน้ำแดง กระเพาะปลาเสฉวนและ เมนูระดับจักรพรรดิอีกหลากหลาย จนจำไม่ได้ แต่ที่แน่ๆมาที่นี่ ไม่มีหมูและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แน่นอน เพราะเขาเป็นประเทศมุสลิม...จ้า
อรุณสวัสดิ์...ดูไบ วันนี้เรามีนัดกับ หมู่เกาะต้นปาล์ม หรือ The Palm Islands เกาะเทียมกลางทะเลที่สร้างเป็นรูปต้นปาล์ม ขนาดพื้นที่ราว 25 ตารางกิโลเมตร ถูกจัดเป็นเมืองสุดหรูที่สุดแห่งหนึ่งในอาหรับ เป็นแหล่งรวมร้านอาหารระดับภัตตาคาร สวนน้ำขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้าที่รวมทุกแบรนด์ดังมาไว้ที่นี่ และสปาชั้นเยี่ยมของโลก
คนที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้าน หมู่บ้านบน The Palm Islands ออกแบบเป็นบ้านสไตล์วิลล่า ชายทะเลมีท่าจอดเรือยอชต์สำหรับผู้พักอาศัยในโครงการนี้ด้วย
...
เราสามารถเดินทางไปเที่ยวเกาะต้นปาล์ม ด้วยรถไฟลอยฟ้าที่เชื่อมต่อจากย่านใจกลางเมือง ระยะทางของรถไฟลอยฟ้านี้แค่ 5.4 กิโลเมตร หรือประมาณไม่เกิน 5 สถานี ระหว่างทางสามารถมองเห็นโรงแรม Atlantis the Palm ซึ่งสร้างเป็นตึกสูงโอ่อ่า สไตล์อาหรับ ตั้งอยู่ริมชายหาด ดูไกลๆเหมือนพระราชวัง สี pink gold น้องนุ่น ที่มาเป็นไกด์พาเที่ยววันนี้ บอกว่า โรงแรมนี้มีทั้งหมด 46 ชั้น แบ่งออกเป็นสองฝั่งและเชื่อมเข้าหากันด้วยซุ้มสะพานโค้ง และชายหาดส่วนตัว ด้านในมีทั้ง สวนน้ำ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำใต้ทะเล ศูนย์ดำน้ำ สปา ฟิตเนส ร้านค้าช็อปปิ้งระดับไฮเอนด์ ร้านอาหารสุดหรู สิ่งบันเทิงต่างๆ รวมถึง Dolphin Bay โชว์ปลาโลมาที่เราสามารถลงไปว่ายเล่นกับบรรดาปลาโลมาแสนรู้ได้แบบใกล้ชิดด้วย...
เจ้าของโครงการเกาะต้นปาล์ม ก็ไม่ใช่ใครอื่น ชีกมักตูม หรือ มุฮัมมัด บิน รอชิด อัลมักตูม เจ้าผู้ครองนครดูไบ คนเดียวกับที่สร้างตึกเบิร์จ คาลิฟานั่นเอง ภายในเกาะเป็นหมู่เกาะเล็กๆ 3 เกาะ คือ The Palm Jumeirah, The Palm Deira และ The Palm Jebel Ali
ตอนเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ด้านล่างของ โรงแรมแอตแลนติส รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไฮโซ...ยังไงก็ไม่รู้ เลยทำให้ต้องแวะซื้ออินทผลัมสดติดไม้ติดมือประมาณว่า ไม่ได้มามือเปล่า
...
ตกเย็น วันนี้มีกิจกรรมน่าตื่นเต้น คือ ขับรถจี๊ปซาฟารีตะลุยทะเลทรายอาหรับ ทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก แต่ว่า...เราไม่ได้ขับเองนะค้า...มีคนขับที่ชำนาญการขับรถในทะเลทราย งานนี้ทั้งลงเนิน ทั้งตกหลุม ทั้งเบรก ทั้งเลี้ยวโค้งไปบนทราย เรียกว่า ส่งเสียงวี้ดว้าย แต๋วแตกกันทั้งรถ...จบกิจกรรมมีดินเนอร์กลางทะเลทราย บรรยากาศดี แต่อาหารกลางทะเลทราย...อดสักมื้อก็ไม่น่าจะเป็นไร...
ปิดทริปด้วยการช็อปปิ้งที่ดูไบ มอลล์ ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้านในมี Dubai Aquarium พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก...อีกเช่นเดียวกัน
เรียกว่า ไปดูไบคราวนี้...ได้ไปในสถานที่ที่เป็น...ที่สุดในโลก แทบทั้งนั้น ทั้งสนุก ทั้งตื่นเต้น จนเล่าไม่หมด อยากรู้คงต้องหาเวลาไปสัมผัสกันเอง...
เพราะดูไบ...ถ้าไม่ไปก็ไม่รู้...จริงๆนะ จะบอกให้...!!!