เป็นอีกหนึ่ง Amazing Thailand ที่อยากชวนไปเที่ยวชม สำหรับการเดินทางล่องใต้ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อย่างอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

อาชวันต์ กงกะนันทน์ ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ ชวนเที่ยว “คลองเขาแดง” ในเขตอุทยานเขาสามร้อยยอด ที่บอกได้เลยว่า ไปแล้วต้องติดใจ

ด้วยทิวทัศน์ที่สวยงามของลำคลองที่ไหลลงมาจากอุทยานเขาสามร้อยยอด เชื่อมต่อกับทะเลปากอ่าวไทย ความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน ที่ต้องบอกว่าสมบูรณ์มากๆ รากโกงกางเกาะยึดป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งได้เป็นอย่างดี

เราลงเรือที่ท่าเรือวัดเขาแดง ซึ่งต้องบอกว่าที่นี่เป็นตัวอย่างของการท่องเที่ยวชุมชนที่ดี หลังจากจ่ายค่าบัตรเข้าชมอุทยานในราคา คนไทยผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เข้าฟรี เรียบร้อยแล้ว ก็เดินลงไปบริเวณท่าเรือ ที่มีเรือบริการ บรรทุกไม่เกิน 6 คน ลำละ 500 บาทต่อ 1 เที่ยวของการนั่งเรือชมคลองเขาแดง

...

วันที่เราไป เนื่องจากเป็นวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวจึงมากกว่าปกติ คุณลุงคนขับเรือ บอกว่า วันนี้ถือว่าโชคดีเพราะได้วิ่งถึง 2-3 เที่ยว แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาทั่วไป บางทีก็จอดเรือตบยุง เพราะไม่มีนักท่องเที่ยว เรือที่นี่มีอยู่ประมาณ 12 ลำ ผลัดเปลี่ยนกัน ต่อคิวรับลูกค้าเหมือนคิวรถสองแถวนั่นละ วนกันไป แต่ที่น่าชื่นชมคือ รายได้ ที่ได้จะเป็นของชาวบ้าน เป็นของคนในชุมชนทั้งหมด

ใช้เวลาล่องเรือราว 40-50 นาทีต่อเที่ยว เรือค่อยๆแล่นช้าๆในคลอง และจอดแวะให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปตามจุดสำคัญที่เป็นไฮไลต์ เริ่มจากหินรูปจระเข้ ที่ต้องบอกว่า เหมือนจระเข้จริงๆ กำลังไต่ขึ้นไปบนหน้าผา เป็น Crocodile Rock ที่สุดอลังการ เลยไปอีกนิด ในซอกหลืบเล็กๆของเขาหิน เป็นหินรูปลิงจ๋อ ที่ธรรมชาติเสกสรรได้อย่างลงตัว เฉพาะแค่ใบหน้าก็เหมือนแบบสุดๆแล้ว

อาชวันต์ บอกว่า น่าเสียดายที่ยังมีคนมาเที่ยวน้อย เลยอยากจะโปรโมตให้คนมาเที่ยวกันมากขึ้น เพราะธรรมชาติที่นี่ยังสมบูรณ์อยู่มาก ชุมชนก็น่ารัก นอกจากหินรูปจระเข้ และลิงน้อยแล้ว ยังมีเขา 8 เซียน ที่ธรรมชาติเสกสรรให้มีเขาเล็กๆ 8 ยอดเรียงกันอย่างสมดุล

หลังจากชมประติมากรรมธรรมชาติอันงดงามแล้ว เรือวกกลับไปอีกด้าน ผ่านหมู่บ้านชาวประมง มีทั้งเรือหาปลาลำใหญ่และเรือประมงพื้นบ้านลำเล็กสำหรับใช้จับปลาตามแนวชายฝั่ง รวมถึงเรือตกหมึกที่โดดเด่นด้วยสายไฟและหลอดไฟระโยงระยางสำหรับการออกหาปลาในยามค่ำคืนของชาวประมง

...

ผอ.ททท.ประจวบคีรีขันธ์ บอกว่า ด้วยความที่ธรรมชาติยังคงความสมบูรณ์ไม่ถูกทำลาย นอกจากชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามแล้ว ที่นี่ยังมีสัตว์น้อยใหญ่ให้ได้ชม ทั้งนกกระยาง ปลาตีน ปูก้ามดาบ ลิงแสม หรือค่างแว่น ซึ่งยังมีอยู่มากเป็นฝูงที่นี่

“นักท่องเที่ยวสามารถเลือกช่วงเวลาในการมาท่องเที่ยวได้ จะเป็นช่วงเช้าที่อากาศยังไม่ร้อน นั่งเรือรับลมเอื่อยๆสบายๆ หรือถ้าอยากชมพระอาทิตย์ตกที่ปากอ่าว ก็อาจจะเลือกช่วงเย็นประมาณ 4-5 โมงเย็น นั่งเรือเที่ยวและรอชมพระ อาทิตย์ตกไปในคราวเดียวกันก็ได้”

นอกจากนั่งเรือเที่ยวแล้ว ถ้าไม่เหนื่อยจนเกินไป แนะนำให้ขึ้นไปชมวิวที่ จุดชมวิวเขาแดง ซึ่งอาจจะต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 400 เมตร หรืออาจจะแวะไปรับลมทะเลที่ หาดสามพระยา ซึ่งเป็นชายหาดที่เงียบสงบ ทอดยาวขนานกับทะเล ได้ความประทับใจไปอีกแบบหนึ่ง

สำหรับเราเลือกล่องเรือในช่วงสาย พอขึ้นจากเรือ ท้องก็ร้องพอดี ถ้าไม่รีบร้อนจนเกินไปและอยากชิมอาหารทะเลสดๆรสมือแบบบ้านๆแซ่บจี๊ดจ๊าด แนะนำร้านนี้เลย “แหลมทองซีฟู้ด” ร้านอาหารทะเลชุมชน ของ คุณลุงไววิทย์ และ คุณป้าประมาณ เทียนแท้

...

คุณลุงรับบทเด็กเสิร์ฟ ส่วนคุณป้าเป็นแม่ครัวใหญ่ อาหารแนะนำของร้าน บอกเลยว่าเลือกไม่ถูก เพราะสดทุกอย่าง แต่ที่โดดเด่น (ซึ่งเราไม่ได้สั่ง) คือ แกงปูชะคราม หรือ แกงคั่วชะครามปู ที่เห็นราคาแล้วตกใจ ไม่ใช่แพงจนตกใจแต่ถูกจนไม่น่าเชื่อสำหรับแกงปูสดๆ และใบชะคราม ที่คุณป้าบอกว่า เก็บเอาตามธรรมชาติ ริมบ่อตกปลาหลังร้านนั่นล่ะ ส่วนอย่างอื่นก็เป็นอาหารทะเลทั่วไป ทั้งปูม้านึ่ง กุ้งซอสมะขาม หรือหมึกไข่นึ่งมะนาว อย่างหลังนี้บอกเลยว่าไม่ควรพลาด กินคู่กับทอดมันปลาที่ใช้ปลาตำกับเครื่องแกง รสชาติกลมกล่อม หนึบเหนียวได้ที่ ไม่ต้องพึ่งพาน้ำจิ้ม

ร้านคนไม่เยอะ แต่แม่ครัวมีคนเดียว ถ้าไปหลายคนแนะนำให้โทร.ไปออเดอร์ก่อนที่เบอร์ 08-5794-7741, 08-6276-9635 จะได้ทานของอร่อยแบบไม่ต้องคอยนาน.

คลิกอ่านคอลัมน์ “เที่ยวตามตะวัน” เพิ่มเติม