หลังจากเพลงของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้หายไปจากคลังเพลงของติ๊กต่อกในเดือนกุมภาพันธ์ ผ่านไป 10 สัปดาห์ ในที่สุดสวิฟตี้ที่อยู่ในติ๊กต่อกก็สามารถกลับมาใช้เพลงของศิลปินคนโปรดได้อีกครั้งแล้ว คาดว่าน่าจะมาจากการตกลงค่าลิขสิทธิ์ได้ รวมถึงติ๊กต่อกเป็นช่องทางการโปรโมตเพลงที่ดีสำหรับศิลปิน

ในที่สุดเพลงของศิลปินสุดฮอตของโลกอย่าง เทย์เลอร์ สวิฟต์ ก็กลับมาบนติ๊กต่อกอีกครั้งแล้ว หลังข้อพิพาทด้านลิขสิทธิ์ระหว่างติ๊กต่อก และยูนิเวอร์แซล มิวสิก ได้สิ้นสุดลงแล้ว

เช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นในสหรัฐอเมริกา เพลงจำนวนมากของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ว่าจะเป็น “You Belong With Me”, “Lover” “Cardigan”, “Mirrorball”, “Fearless (Taylor’s Version)”, “Cruel Summer”, “Cardigan”, “Style (Taylor’s Version)”, “Is It Over Now? (Taylor’s Version)”, “The Man” และ “ME!” สามารถนำมาใช้ประกอบในวิดีโอของเหล่า Swifty และ Tiktokers

การกลับมาของบรรดาเพลงจากผลงานของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ คาดว่ามาจากเหตุปัจจัยสองอย่างด้วยกัน ประการแรก นั่นเป็นเพราะว่า เทย์เลอร์ สวิฟต์ กำลังจะมีผลงานใหม่ ซึ่งเป็นสตูดิโออัลบั้มในชื่อ “The Tortured Poets Department” มีกำหนดเปิดตัวในวันที่ 19 เมษายนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแพลตฟอร์มของติ๊กต่อกเป็นช่องทางที่ดีมากๆ สำหรับการโปรโมตผลงานใหม่ของศิลปิน

เหตุผลที่สอง เป็นเรื่องของเงื่อนไขลิขสิทธิ์ที่สามารถตกลงกันได้สำเร็จ เชื่อกันว่าแพลตฟอร์มติ๊กต่อกน่าจะตกลงเงื่อนไขด้านลิขสิทธิ์ที่แยกต่างหากกับตัวของเทย์เลอร์ สวิฟต์โดยตรง ซึ่งตัวของศิลปินมีสิทธิ์และอำนาจในการจัดการกับผลงานที่เป็นมาสเตอร์ของตัวเอง แม้ว่าในปี 2020 เทย์เลอร์ สวิฟต์ จะเซ็นสัญญากับยูนิเวอร์แซล มิวสิก กรุ๊ป ให้รับหน้าที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายผลงานก็ตาม 

...

ประเด็นข้างต้นมีการตั้งข้อสังเกตว่า ผลงานของศิลปินคนอื่นๆ ที่มีสัญญากับยูนิเวอร์แซล มิวสิก กรุ๊ป เช่น ริฮานนา และอารีอานา กรานเด ยังคงไม่สามารถนำมาใช้ประกอบวิดีโอต่างๆ ในติ๊กต่อกได้ จึงเชื่อว่าการกลับมาของเพลงจากฝีมือของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ บนติ๊กต่อก คงต้องมาจากการดีลโดยตรงของศิลปิน และแอปพลิเคชันชื่อดัง

ประเด็นข้อพิพาทด้านลิขสิทธิ์ระหว่าง ติ๊กต่อก และยูนิเวอร์แซล มิวสิก เกิดขึ้นจากการที่ตัวแทนของฝั่งผู้ผลิตเพลงมองว่าติ๊กต่อกได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการเข้าถึงเพลงในราคาที่ต่ำเกินไป อีกทั้งยังมีมาตรการป้องกันเอไอที่ไม่ดีพอ. 

ที่มา: BBC

ภาพ: AFP