ในช่วงนี้บ้านเรากระแสของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี ได้มีการพูดถึงกันมาก เพราะการยอมรับของสินทรัพย์ดิจิทัลในแวดวงธุรกิจต่างๆ เริ่มขยายวงกว้างขึ้น เหมือนเป็นสกุลเงินประเภทหนึ่งที่นำไปชำระค่าสินค้าและบริการได้แม้ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายก็ตาม
ในโลกของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำยุคไปมาก สินทรัพย์ดิจิทัลถูกพัฒนาจากหน่วยข้อมูลดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นตัวกลางด้วยเทคโนโลยีของบล็อกเชน ด้วยวิธีเข้ารหัสทางคอมพิวเตอร์เพื่อความปลอดภัยแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดย “บิตคอยน์’ เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สะท้อนความสำเร็จของเทคโนโลยีนี้
เมื่อเกิดความต้องการขึ้นมากแต่จำนวนบิตคอยน์มีจำกัดทำให้มูลค่าเพิ่มสูงมหาศาลจนเกิดกระแสการเข้าไปเก็งกำไรสร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมาก จวบจนถึงปัจจุบันมูลค่า 1 บิตคอยน์ถีบตัวสูงเกือบ 2 ล้านบาท
ในปัจจุบันสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซีใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวันพร้อมๆกับการเกิดขึ้นของนักลงทุนหน้าใหม่ๆหลายๆคนได้เคลื่อนย้ายการลงทุนจากตลาดหลักทรัพย์ไป
ลงทุนในตลาดนี้เพราะเล็งเห็นผลตอบแทนอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความผันผวนสูงมาก
ในบ้านเราในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนจะจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีและการลงทุนอายุระหว่าง 20-30 ปี ซึ่งกลุ่มนี้ร่ำรวยจากการลงทุนซื้อขายเงินดิจิทัลกันจำนวนมาก และถูกเรียกกันว่า New Wealth หรือกลุ่มคนร่ำรวยยุคใหม่จากบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
กลุ่มนี้ New Wealth ส่วนใหญ่ไม่มีบัตรเครดิต และไม่สนใจทำด้วย ถือครองเงินดิจิทัล แต่พฤติกรรมการบริโภคถูกจับตามองและเป็นเป้าหมายของผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ มีกำลังซื้อสูง กล้าใช้จ่ายเงิน ใช้ชีวิตหรูหรา ชอบแบรนด์เนม สปอร์ตคาร์
...
ยิ่งยานแม่ SCBx ได้ทุ่มร่วมทุนกับบิทคับ (Bitkub) ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อวางฐานเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคต ได้เร่งให้คนไทยสนใจศึกษาและเข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก โดยตัวเลขของบิทคับระบุว่ามีผู้สนใจสมัครบัญชีซื้อขายแล้วกว่า 3 ล้านบัญชี และที่ซื้อขายประจำมากกว่า 1.2 ล้านบัญชี แต่ละวันปริมาณซื้อขายสูงถึง 25,000 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ต่างเฮโลกันโฆษณาเปิดรับชำระค่าสินค้าและบริการอย่างโจ่งแจ้ง แม้จะทราบกันดีว่าเป็นสกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่มีมูลค่าและจะเพิ่มยอดขายสินค้าของตนได้
จึงเป็นเหตุให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ดูแลตลาดทุนต้องออกมาเตือนพร้อมให้ระมัดระวังการลงทุนและขู่จะดำเนินการกับกลุ่มที่มีพฤติกรรม ปั่นราคาและพร้อมจะหารือกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อออกกฎหมายมาดูแล
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาเตือนว่าไม่สนับสนุนให้ใช้สกุลเงินดิจิทัลซื้อขายสินค้าเพราะหวั่นจะกระทบกับเสถียรภาพของระบบการเงินภายในประเทศ
แม้ว่าเทคโนโลยีจะล้ำหน้าไปไกลเกินกว่าจะตามทันแต่การออกมาของหน่วยงานรัฐได้ช่วยลดความผันผวนในตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลลงได้โดยเฉพาะเหรียญที่ออกโดยคนไทย และผู้ประกอบการเริ่มจะรู้ตัวว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจับตามอง
หนทางของสินทรัพย์ดิจิทัลยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เพราะยังมีเทคโนโลยีล้ำยุคที่ถูกพัฒนาต่อไป “ควอนตัม คอมพิวเตอร์” ถูกหยิบยกมาพูดถึงมาทดแทนบล็อกเชนหรือสินทรัพย์ดิจิทัลได้ในอนาคต
แต่มีการหยิบยกเหตุผลว่า “บิตคอยน์” ยังมีอนาคตอีกไกลเพราะควอนตัมยังไม่สามารถมาบ่อนทำลายได้ ซึ่งไม่มีใครรู้หรอกว่าในอนาคตมันจะไปถึงจุดไหนกัน
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสังคมบ้านเราก็จะเห็นมีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้กันอย่างแพร่หลายในอนาคตมากขึ้นจะชำระเป็นเงินบาทหรือเงินดิจิทัลสะดวกชำระแบบไหน ตามสะดวกเลย.