หลายคนมักจะคิดว่า “สิว” เกิดขึ้นกับวัยรุ่นเท่านั้น แต่ความจริงแล้วในวัยผู้ใหญ่หรือวัยกลางคน อายุ 40 ปีขึ้นไปแล้วก็ยังมีสิวขึ้นได้ ซึ่งนอกจากสร้างความรำคาญใจแล้ว ยังส่งผลต่อปัญหาผิวพรรณในระยะยาวที่กระทบต่อความมั่นใจอีกด้วย

ปัญหาการเกิดสิวและหลุมสิวยังคงเป็นปัญหาผิวพรรณที่กวนใจหลายคนเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอก การเกิด Adult Acne หรือสิวในวัยผู้ใหญ่นั้นเริ่มเป็นกันมากขึ้น โดยมีจำนวนถึง 40% ของผู้ใหญ่อายุ 18-44 ปีทั่วโลก การเกิดสิวขึ้นบ่อยๆ และไม่ได้รับการดูแลรักษาสิวที่ถูกวิธี ก็จะทำให้เกิดปัญหาหลุมสิวตามมาในอนาคตอย่างแน่นอน

สิววัยผู้ใหญ่ เกิดจากอะไร

ปัญหาสิววัยผู้ใหญ่เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด กรรมพันธุ์ ฮอร์โมน เนื่องจากผู้หญิงในวัยนี้เป็นวัยที่กำลังสร้างครอบครัว บางคนแต่งงานมีลูก ก็จะมีเรื่องฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งครรภ์ และมีภาวะความเครียดจากการทำงานที่มีมากขึ้นกว่าวัยสาว มักจะพบว่าสิวขึ้นเยอะโดยเฉพาะบริเวณตรงคาง ซึ่งรักษาได้ด้วยการกินยา ทายา หรือฉีดยา และป้องกันด้วยการลดการกินอาหารที่กระตุ้นฮอร์โมน เช่น อาหารที่ทำจากแป้งขัดสี อาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารที่ทำจากนมวัว หากยังไม่ดีขึ้นควรตรวจภายในเพราะโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฮอร์โมนผิดปกติจนทำให้เกิดสิวได้

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...

นอกจากนี้ การดูแลทำความสะอาดผิวหน้าก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิววัยผู้ใหญ่ได้เช่นกัน หากล้างเครื่องสำอางไม่หมดก็ทำให้เกิดการตกค้างและอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้

หลุมสิว ปัญหาเรื้อรังของสิววัยผู้ใหญ่ที่แก้ไขได้ยาก แต่ทำได้หลายวิธี

เมื่อเรารักษาและป้องกันสิวจากต้นเหตุได้แล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่ตามมาสำหรับสิววัยผู้ใหญ่คือ “หลุมสิว” ที่มักจะทิ้งร่องรอยสมรภูมิไว้ให้เราดูต่างหน้าแม้จะไม่อยากได้ก็ตาม ซึ่งหลุมสิวก็มีหลายประเภทที่มีการดูแลรักษาต่างกัน ผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวควรต้องรู้เพื่อประโยชน์ของการเข้ารักษาอย่างถูกวิธี ว่าตนเองเป็นสิวประเภทไหนและควรเข้ารักษาด้วยวิธีใดจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด แพทย์หญิงพัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง (Board-Certified Dermatologist) EY CLINIC กล่าวว่า หลุมสิวแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ตามลักษณะการเกิด คือ

1. หลุมสิวแบบจิก (Ice Pick)

เป็นหลุมลึกและแคบ เกิดจากการอักเสบของสิวที่รุนแรงจนทำให้เนื้อเยื่อในชั้นลึกของผิวถูกทำลาย แนะนำให้รักษาด้วยวิธี TCA Cross หรือการใช้กรด Trichloroacetic Acid ที่มีความเข้มข้นสูง หยดลงในหลุมสิวโดยตรงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ควบคุมและสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มหลุมสิวจากภายในขึ้นมา แต่อาจจะทำให้เกิดรอยแดงหรือแผลตกสะเก็ดบริเวณที่รักษา ซึ่งจะหายไปภายใน 7-10 วัน ต้องทำการรักษาประมาณ 2-6 ครั้งจึงจะเห็นผล

อีกวิธีคือการรักษาด้วย Fractional CO2 Laser เป็นการใช้เลเซอร์ความถี่สูงเพื่อเจาะทะลุผิวในลักษณะจุดเล็กๆ หลายพันจุดในบริเวณหลุมสิว ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายในผิวได้ แต่ก็จะมีโอกาสเกิดแผลเป็นหรือรอยด่างขาว หากทำไม่ถูกวิธีหรือทำในผู้ที่มีผิวคล้ำ และหลังการรักษาจะต้องดูแลผิวอย่างเคร่งครัดโดยหลีกเลี่ยงจากการโดนแดดและให้ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอด้วย

2. หลุมสิวแบบกล่อง (Box Scar)

คือหลุมสิวที่มีลักษณะตื้นและรอยหลุมกว้าง ขอบหลุมคมชัดเจน เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิวหลังการอักเสบของสิว วิธีการรักษาจะเน้นไปที่การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวฟื้นตัวขึ้น เช่น Fractional RF เป็นเทคโนโลยีที่ส่งคลื่นวิทยุเข้าสู่ผิวหนังเพื่อสร้างจุดเล็กๆ ทำให้เกิดความร้อนที่ชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวทั้งแบบตื้นและลึก

อีกวิธีคือ Subcision เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับหลุมสิวที่มีความลึก โดยใช้เข็มขนาดเล็ก ตัดเส้นใยพังผืดที่ดึงผิวให้เป็นหลุม ซึ่งช่วยให้หลุมสิวที่ลึกมากฟื้นตัวและดูตื้นขึ้น อาจมีอาการช้ำหรือบวมหลังการรักษา ซึ่งจะหายไปใน 1-2 สัปดาห์

...

และวิธีการสุดท้ายคือ Biostimulators เป็นการรักษาโดยการฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับผิว แต่อาจต้องทำการฉีดซ้ำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

3. หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling)

เป็นหลุมสิวที่มีลักษณะหลุมกว้าง ขอบไม่ชัดเจน และมักมีความตื้นและลึกที่ทำให้ผิวไม่สม่ำเสมอกัน เกิดจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังหดตัวหลังการรักษาสิว วิธีการรักษาที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling คือ Subcision เนื่องจากลักษณะของหลุมสิวมักเกิดจากพังผืดที่ยึดติดผิวกับชั้นล่าง การใช้เข็มเล็กเพื่อปลดพังผืดเหล่านี้จะช่วยให้ผิวตื้นขึ้นและเรียบเนียนมากขึ้น และอาจเพิ่มการใช้ Biostimulators หลังจากทำ Subcision ก็จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มเติม และช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูเรียบเนียนและสดใสมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีเทคนิคและเครื่องมือการรักษาเฉพาะอื่นๆ ซึ่งแพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้ประเมินและเลือกวิธีการรักษาให้กับเรา การรักษาหลุมสิวในแต่ละครั้งจะดีขึ้น 20-30% แต่ถ้ารักษาอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีโอกาสดีขึ้นถึง 90% เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน โดยเราควรเลือกคลินิกที่มีความพร้อมในการรักษาและมีเครื่องมือที่ทันสมัย จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และเกิดความปลอดภัยแก่ตัวเรามากที่สุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

...

แพทย์หญิงพัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง EY CLINIC
แพทย์หญิงพัจนภา เวชอนุรักษ์ (หมอผึ้ง) แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง EY CLINIC

หมอผึ้งยังกล่าวถึงความน่ากังวลเกี่ยวกับผู้มีปัญหาหลุมสิวว่า “ปัญหาหลุมสิวที่เกิดจากการดูแลผิวไม่ถูกวิธีกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นตอนปลายถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นในช่วงอายุ 18-30 และยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่หลายคนคิดไม่ถึง เช่น สารเคมีตกค้างในอาหารและเครื่องดื่ม มลภาวะทางอากาศ ที่ทำให้หลายคนเป็นสิวในวัยผู้ใหญ่ รวมทั้งสิวตามร่างกายมากขึ้น โดยหลังจากการรักษาสิวเราอาจต้องรักษาเรื่องหลุมสิวควบคู่กัน ซึ่งยิ่งต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางในการดูแลรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า และปลอดภัยที่สุด”

ภาพ : iStock