บรรดาคนดังที่ไม่ว่ากาลเวลาจะข้ามผ่านไปนานแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงถูกเรียกสรรพนามว่า “พี่” อยู่เสมอ ถ้าไม่นับพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ผมคิดว่า อีกหนึ่งคนที่แฟนคลับของเขาที่ติดตามผ่านงานเขียน หรือจากพอดแคสต์ ก็เรียกเขาว่า “พี่” คนคนนั้น คือ พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ หรือสรกล อดุลยานนท์ 

พี่ตุ้มจะมาเป็นหนึ่งในสปีกเกอร์ของงาน Thairath Forum 2024 ในหัวข้อ Talk of the Gens เปิดเวทีความคิด หลากหลายมุมมองของคนหลายเจน แม้ว่าพี่ตุ้มจะมาเป็นตัวแทนในฐานะตัวแทนของช่วงวัยเบบี้ บูมเมอร์ (Baby boomers) ก็จริง แต่พี่ตุ้มก็คือพี่ตุ้ม ยังคงดูดีกว่าอายุที่แท้จริงมาก ก่อนหน้าที่จะเริ่มบทสนทนาที่จริงจัง ผมได้ถามไถ่ถึงความรู้สึกของพี่ตุ้มเกี่ยวกับผลงานของทีมรักอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2023/24 ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้ประกาศศักดาเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 13 เหนือต่อเพื่อนบ้านสีฟ้าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้

Thairath Forum 2024 ในหัวข้อ Talk of the Gens
Thairath Forum 2024 ในหัวข้อ Talk of the Gens

...

บทสนทนาแรกที่ผมได้ถามพี่ตุ้ม เพราะสังเกตได้ว่า พี่ตุ้มเป็นคนที่เคยผ่านการทำงานร่วมกับคนหลายเจเนอเรชัน พี่ตุ้มมีหลักการทำงาน การสื่อสาร รวมถึงการทำงานร่วมกับคนต่างช่วงวัยอย่างไร 

“จริงๆ ต้องบอกว่า ผมไม่ค่อยรู้สึกกับมันมากเท่าไร เพราะถ้าตราบใดที่เราเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา เราจะไม่ค่อยรู้สึกความแตกต่างระหว่าง Gen” พี่ตุ้มเจ้าของนามปากกาหนุ่มเมืองจันท์ กล่าวต่อไปว่า “ถ้าผมเปิดกว้างเพื่อให้รู้ ทุกอย่างจะง่ายมาก ต้องเรียนรู้กับเขาเช่นกัน เขาอาจต้องปรับตัวหาเราบ้างบางส่วน แต่ผมว่า ‘เราต้องโน้ม’ คือถ้าเราเป็นต้นไม้ใหญ่ เราต้องโน้มลงมาบ้าง เพราะเราอายุเยอะกว่า โน้มฟังบ้าง ด้วยความอาวุโสเรามีความได้เปรียบอยู่แล้วที่เขาจะฟังเราอยู่พอสมควร ถ้าเราสื่อสารดี ถ้าเขารู้สึกว่าเราเปิดรับความคิดใหม่ๆ ฉะนั้นความแตกต่างระหว่าง Gen สำหรับผม ผมไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร”

พี่ตุ้ม กล่าวเพิ่มเติมว่า แต่ละ Gen มีความคิด มีความเชื่อ ที่แตกต่างกัน ทำความเข้าใจมันนิดหนึ่งว่า ทำไมเขาเชื่อแบบนี้ ทำไมเขาคิดแบบนี้ ทุกอย่างจะไม่มีปัญหา

จากประโยคข้างต้น ผมรู้สึกว่าการเปิดรับสิ่งใหม่เข้ามาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับใครหลายคน 

พี่ตุ้ม อธิบายว่า ส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะอาชีพของพี่ตุ้มที่ทุกคนรู้จักกันดี ก็คือการทำหน้าที่เป็น “สื่อ” แล้วเรื่องราวที่พี่ตุ้มเขียนผ่านนามปากกาหนุ่มเมืองจันท์ก็เป็นการเขียนถึงในสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น จึงกลายเป็นความได้เปรียบ ที่ทำให้พี่ตุ้มเปิดรับกับสิ่งเหล่านี้โดยปริยาย

“ถ้าสมมติว่า คนรุ่นเก่าแล้วยังเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็คิดว่าชุดความคิดของตัวเองถูกต้องอยู่เสมอ ‘ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อนเด็ก’ คำพูดแบบนี้แหละครับที่ทำให้เรามีความหลงตัวเองค่อนข้างสูง แล้วคิดว่า ถ้าเด็กรุ่นใหม่ไม่เชื่อเราแล้วต้องผิด ผมว่าตอนนี้ โลกธุรกิจ โลกเทคโนโลยี มันบอกให้รู้ว่า ‘คนรุ่นใหม่ถูก แล้วบางอย่างเราผิด’ ถ้าเรายอมรับตรงนี้ได้ทุกอย่างมันก็จะเบาลง”

พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์
พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์

ผมพูดเสริมไปว่า หรืออันที่จริง ผู้ใหญ่เหล่านั้น พวกเขาอาบน้ำร้อนมาก่อน อาบจนกระทั่ง “ตัวเปื่อย” ไปหมดแล้ว

พี่ตุ้มหัวเราะกับประโยคนี้ แล้วพูดว่า “ก็เป็นไปได้นะ ชุดความคิดมันคนละเรื่องเลยนะครับ” ก่อนที่จะกล่าวต่อไปว่า “ผมขอยกคำพูดนี้ดีกว่า เป็นคำพูดในเชิงธุรกิจของเฮียฮ้อ อาร์เอส (สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์) เขาเคยบอกว่า คนอายุ 45 ปีในยุคสมัยก่อน คือคนที่มีความพร้อมมาก ทั้งวุฒิภาวะ ทั้งประสบการณ์ชีวิต ทั้งการทำงานกับคน คนกลุ่มนี้เป็น ‘มนุษย์ทองคำ’ ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่พอในยุคสมัยนี้ ปรากฏว่าประสบการณ์ในชีวิตที่คนกลุ่มนี้ใช้ได้ กับเทรนด์ของธุรกิจใหม่มันใช้ได้แค่ 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะชุดความคิดมันใหม่มันเกิดขึ้นแล้ว คนรุ่นใหม่เก่งในเรื่องบางเรื่อง ซึ่งเป็นความต้องการของโลกมากกว่าคนรุ่นเก่า”

พี่ตุ้ม เน้นย้ำด้วยว่า จริงๆ แล้วทั้งหมดมันอยู่ที่ การยอมรับระหว่างกัน แล้วก็ต้องยอมรับด้วยว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะล้าสมัยได้

...

ผมถามพี่ตุ้มว่า คนแต่ละ Generation มีความเหมือน หรือความแตกต่างใดๆ ที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ “คนรุ่นประมาณผม หรือคนที่มีอายุมากจะมีความได้เปรียบอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือการรู้จักคน มีประสบการณ์ชีวิตในการเข้าใจคน รับความกดดันได้ดีกว่า ยอมรับความผิดหวังได้ดีกว่า เพราะผิดหวังมาเยอะ” พี่ตุ้มตอบ “แต่คนรุ่นใหม่ข้อดีที่สุดคือในเรื่องของเทคโนโลยี ความรู้ที่กว้างเพราะโลกของเขาเป็นโลกที่กว้าง เขาไม่ได้ผูกติดกับความเป็นแค่คนไทย แต่เป็นพลเมืองโลกไปแล้ว แล้วความรู้ของเขาค่อนข้างหลากหลายมากกว่า อันนี้เป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าต้องยอมรับว่า คุณไม่เท่าทัน ไม่ได้มีเพียงแค่โซเชียลมีเดีย วันนี้ยังมีเอไอ (AI) ก้าวเข้ามา มันเห็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนที่สุดมากๆ ครั้งหนึ่ง ในความเปลี่ยนแปลง”

อย่างไรก็ตาม จุดตัดของคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ในมุมมองของพี่ตุ้มก็คือ เรื่องของการเข้าใจกันและกัน แล้วทำให้ความแตกต่างอยู่ร่วมกันได้ อันนี้คือประเด็นสำคัญ 

พี่ตุ้มเลือกกระทรวงยุติธรรม ถ้าสมมติว่าได้เป็นรัฐมนตรี
พี่ตุ้มเลือกกระทรวงยุติธรรม ถ้าสมมติว่าได้เป็นรัฐมนตรี

...

คำถามต่อไปของผมคือ สมมติว่าหนุ่มเมืองจันท์ได้เป็นรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้น้ำเสียงของพี่ตุ้มจริงจังขึ้น “ผมเพิ่งคิดได้เมื่อเช้านี้ ผมอยากเป็นรัฐมนตรียุติธรรม เพราะกรณีของบุ้ง (เนติพร เสน่ห์สังคม) ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจ ผมรู้ว่ารัฐบาลไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของศาลได้”

แต่ในกระบวนการของเขามีกรมราชทัณฑ์ มีกระบวนการยุติธรรมบางสิ่งบางอย่างที่สามารถอำนวยความสะดวก หรือทำให้เรื่องราวของคนที่คิดต่างทางการเมืองอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงพยาบาล ซึ่งอย่างที่ทนายด่าง (กฤษฎางค์ นุตจรัส) เปรียบเทียบกันแล้วมันเห็นชัดเจนถึงความสองมาตรฐาน คนคนหนึ่งที่อดอาหารควรส่งผ่านไปยังโรงพยาบาลให้เร็วกว่านี้

พี่ตุ้มกล่าวต่อไปว่า เรื่องที่สองเป็นเรื่องของความคิดต่างทางการเมือง คดีที่บุ้งเข้าไปเป็นตำรวจขอถอนประกัน ซึ่งตำรวจอยู่ในอำนาจของรัฐบาล ที่คุณจะถอนหรือไม่ถอนก็ได้

“ในอดีตเคยมีเรื่องที่คุยกันมายาวนานว่า คนคิดต่างทางการเมืองไม่ใช่อาชญากร ถ้าคุมเขาเรื่องเสรีภาพในการใช้ชีวิต อาจไม่ใช่เรือนจำ แต่เป็นพื้นที่กลางพื้นที่หนึ่งได้ สมัยก่อนเคยมีแนวคิดว่าจะให้มีโรงเรียนตำรวจ เพื่อให้คนคิดต่างทางการเมืองอยู่ในพื้นที่พื้นที่หนึ่งไม่ใช่อยู่กับอาชญากรที่ฆ่าคนมา เขาแค่คิดต่างทางการเมือง เขาไม่ได้ทำผิดอะไร เพียงแต่เขาคิดไม่เหมือนคุณแค่นั้นเอง”

ต่อจากคำถามที่เป็นเรื่องสมมติแล้ว สิ่งที่ผมถามต่อไปก็คือ ประเทศไทยในฝันของหนุ่มเมืองจันท์ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยที่ตัวเลข 3 ปีถูกอ้างอิงจากช่วงเวลาที่ประเทศไทยจะได้กลับเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง

พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ คิดว่า ถ้าเป็นเรื่องทางการเมือง ความขัดแย้งต่างๆ มันต้องใช้เวลามากกว่า 3 ปี แต่สิ่งที่พี่ตุ้ม อยากให้ประเทศไทยมีมากกว่านี้ก็คือ เสรีภาพทั้งการคิด การพูด การเคารพกติกา โดยเฉพาะกติกาประชาธิปไตย ใครชนะเลือกตั้ง ก็ควรจะได้สิ่งนั้นไป

...

ทางด้านเรื่องเศรษฐกิจ พี่ตุ้มบอกว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยเสียเวลาไปกับความขัดแย้งทางการเมืองจนทำให้ตัวเองย่ำอยู่กับที่ ส่งผลให้ประเทศอื่นแซงไปไกลมาก แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพที่สูงก็ตาม ไทยควรที่จะวิ่งทะยานไปข้างหน้า และเศรษฐกิจควรจะดีกว่านี้ ไม่เว้นแม้แต่การที่ผู้คนต้องโหยหาอากาศที่ดี ไม่ต้องผจญกับปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

ความแตกต่างระหว่าง Gen มีในทุกยุคทุกสมัย ในมุมมองของพี่ตุ้ม
ความแตกต่างระหว่าง Gen มีในทุกยุคทุกสมัย ในมุมมองของพี่ตุ้ม

ในช่วงท้าย พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ได้ฝากถึงเรื่องการเปิดกว้างทางความคิด โดยเฉพาะการเดินเข้าหากัน พูดจาภาษาดอกไม้ เปิดใจเข้าหากัน เพราะความแตกต่างระหว่าง Gen ที่จริงแล้วมันก็มีในทุกยุคทุกสมัย 

“ผมรู้สึกว่า เราพูดถึงความขัดแย้งระหว่าง Gen กันมากขึ้นทุกวันๆ ส่วนหนึ่งคือเรื่องจริง อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของประตูที่เปิดกว้างมากกว่า คือถ้าเราเปิดกว้างประตูความคิดของคนแต่ละรุ่น โดยไม่จำกัดว่า รุ่นไหนคือรุ่นไหน แต่เปิดกว้างเข้าหากัน ให้เป็นพื้นที่โล่งๆ แล้วเจอกันบ่อยๆ แลกเปลี่ยนกันบ่อยๆ อย่าประณามหยามเหยียดกันเกินไป ไม่ว่ารุ่นไหนประณามหยามเหยียดคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นเก่าประณามหยามเหยียดคนรุ่นใหม่ แล้วลองคุยกัน” พี่ตุ้มพูดด้วยรอยยิ้ม 

หลังจากนั้นพี่ตุ้มเล่าต่อไปว่า “ความแตกต่างของคนระหว่าง Gen มันมีทุกยุคสมัย แต่ยุคนี้มันแรงขึ้น เพราะไม่รู้ว่ากระแสของโซเชียลมีเดียหรืออะไรก็ตามที่แรงขึ้น แต่ผมก็เชื่อว่า คงมีผู้ใหญ่หลายคนที่เข้าใจเด็ก และมีเด็กอีกหลายคนที่เข้าใจผู้ใหญ่ ขอให้ทิ้งอะไรที่เป็นเปลือกของแต่ละเรื่องออกเท่านั้นเอง ผมเชื่อว่า สังคมไทยยังคงเปิดรับกับสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าใจเราเปิดกว้าง ทุกอย่างมันก็ง่าย”