ฟิลิปส์ อัปเดต 5 เทรนด์ด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่คาดการณ์ว่าจะมาแรงในปี 2025
ปัจจุบันโลกเกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ สวนทางกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดยังคงเป็นปัญหาสำคัญในวงการสาธารณสุข
องค์กรด้านเฮลท์แคร์ และผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขทั่วโลกจึงจำเป็นต้องพัฒนาและหาแนวทางในการให้บริการสาธารณสุขที่ดีกว่า พร้อมๆ ไปกับการตระหนักถึงความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยบทความนี้ทางฟิลิปส์ได้นำเสนอถึง 10 เทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปี ค.ศ. 2025 ที่จะมาช่วยส่งมอบการดูแลรักษาที่ดีกว่าให้กับผู้คนได้มากขึ้นอย่างยั่งยืน
![](https://static.thairath.plus/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWvZ7NzqANIYbK1GhdEqOEtr0AN6.jpg)
เทรนด์ด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปี 2025
- Generative AI
เทคโนโลยีที่มาเป็นผู้ช่วยเพื่อลดเวลาทำงานทุกสายอาชีพ ด้านการแพทย์ก็เช่นกัน เมื่อจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ และต้องรับภาระงานที่หนักจึงหันมาใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติเพื่อลดภาระงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์
โดยจากผลสำรวจ 2024 Philips Future Health Index report เผยให้เห็นว่า 92% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์เชื่อว่า เทคโนโลยีอัตโนมัติเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากร โดยเทคโนโลยีอัตโนมัติสามารถช่วยลดงานและกระบวนการที่ซ้ำซ้อนได้
...
ในขณะที่กว่าร้อยละ 90 ยังเชื่อว่าเทคโนโลยีอัตโนมัติจะลดภาระงานด้านเอกสาร ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้น ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสนับสนุนเทคโนโลยีทางการแพทย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น 85% ของผู้บริหารชั้นนำในวงการเฮลท์แคร์ทั่วโลกจึงหันมาลงทุนหรือมีแผนที่จะลงทุนใน Generative AI ภายในสามปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าเทรนด์นี้จะมาแรงในช่วงปี 2025 นี้
Generative AI สามารถช่วยด้านการจัดการรายงานประวัติผู้ป่วยจำนวนมาก เพื่อให้ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วยได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การวินิจฉัยที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาตัวเองได้
![](https://static.thairath.plus/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWvZ7NzqANIYbKpNQup76s6OfI7j.jpg)
- ศัลยกรรมยุคใหม่
การปฏิวัติเงียบๆ ในวงการศัลยกรรมได้เริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้าง เมื่อการผ่าตัดเล็ก (minimally invasive) กำลังเข้ามาแทนที่การผ่าตัดใหญ่แบบดั้งเดิม โดยการผ่าตัดเล็กมาเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษาแบบเดิมโดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น ลดความเจ็บปวด และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนได้ดีขึ้น
จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้การศัลยกรรมหรือผ่าตัดเล็กแบบ minimally invasive ก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่ก็มีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน แพทย์จำเป็นต้องรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือการตรวจวินิจฉัยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ภาพเอ็กซเรย์ 2 มิติ แบบภาพสด, ภาพจากอัลตราซาวด์แบบ 3 มิติ, การตรวจด้วยอัลตราซาวด์หลอดเลือด (IVUS) และการวัดการไหลเวียนของเลือด (FFR หรือ iFR)
ในขณะเดียวกันก็ต้องประเมินและติดตามภาวะของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ดังนั้นการเชื่อมต่อของระบบ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือต่างๆ จึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น การบูรณาการระบบเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ศัลยกรรมสามารถวางแผนการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยได้ด้วยความมั่นใจ ตัวอย่างเช่น นวัตกรรมล่าสุดของฟิลิปส์ในกลุ่ม Image-guided therapy ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง เพราะทุกๆ 2 วินาที จะพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองของการเสียชีวิตทั่วโลก และเป็นสาเหตุหลักของภาวะความพิการในระยะยาว อย่างไรก็ตาม น้อยกว่า 5% ของประชากรทั่วโลกที่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที ด้วยการสวนหลอดเลือดแบบไม่ต้องผ่าตัด (mechanical thrombectomy) หรือการผ่าตัดเล็ก (minimally invasive) ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง
นอกจากนี้การเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ด้วยการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลที่มีความพร้อม และเพิ่มการฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับเทคนิคการรักษาแนวทางใหม่ล่าสุดแบบผ่าตัดเล็ก ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ฟิลิปส์มุ่งมั่นจะทำต่อร่วมกับองค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก (World Stroke Organization)
![](https://static.thairath.plus/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWvZ7NzqANIYbKPUWiRnShCPfGJn.jpg)
...
- เทเลเฮลท์ (Telehealth)
การเข้าถึงผู้ป่วยได้ทุกที่ และการรักษาพยาบาลผ่านทางออนไลน์ (Virtual Care) เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 จนถึงวันนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านบริการสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขที่ดีกว่าด้วยทรัพยากรที่อยู่อย่างจำกัด
การเข้าถึงระบบสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล หรือชุมชนที่ด้อยโอกาสเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเท่าเทียม และการดูแลผู้ป่วยอย่างทั่วถึง
การใช้เครื่องติดตามสัญญาณชีพทางไกลและการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ ณ จุดบริการตรวจ ร่วมกับการปรึกษาผ่านทางวิดีโอออนไลน์แบบเรียลไทม์ เป็นหนึ่งในแนวทางการดูแลรักษาแบบเทเลเฮลท์ (Telehealth) ที่เข้ามาช่วยให้ผู้คนเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้มากขึ้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อีกทั้งยังช่วยลดการเดินทางไปพบแพทย์ที่อยู่ห่างไกลได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเทเลเฮลท์แพทย์ประจำ ณ สถานพยาบาลปฐมภูมิจะสามารถให้การดูแลรักษาผู้ป่วยได้ถึง 40% ร่วมกับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านทางออนไลน์ ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีการดูแลรักษาทางไกล (Telemedicine) ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขในประเทศอินโดนีเซีย
เผชิญกับความท้าทายด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข เนื่องจากเป็นภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุขตามยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของรัฐบาล
การดูแลรักษาทางไกล (Telemedicine) เครื่องติดตามสัญญาณชีพทางไกล และ AI เป็นเครื่องมือสำคัญของอินโดนีเซียที่ใช้เพื่อให้บริการสาธารณสุขแก่ผู้ป่วยแม้ในพื้นที่ห่างไกลเช่นกัน
![](https://static.thairath.plus/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWvZ7NzqANIYbKWRdzoRQirYD9ul.jpg)
...
- นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
จากเทรนด์เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่กล่าวถึงข้างต้น ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงวงการสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน และ AI ยังช่วยในด้านการพัฒนาความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์อีกด้วย
อุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกถึง 4.4% ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่ง แต่เทคโนโลยี AI สามารถช่วยวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ ไม่ว่าจะเป็น การลดขยะและของเสีย หรือการปรับปรุงการจัดการสถานพยาบาล นอกจากนี้ AI ยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย แต่ทำให้ลดการใช้พลังงานต่อการสแกนแต่ละครั้ง
ดังนั้นการใช้ AI เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่น่าจับตาสำหรับปี 2025 และปีต่อๆ ไป อย่างไรก็ตามเมื่อมีการใช้งาน AI มากขึ้น อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากดิจิทัลโซลูชั่นส์จำเป็นต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในกระบวนการและการจัดเก็บข้อมูล
พร้อมกับการใช้น้ำเพื่อทำความเย็นให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความร้อนสูง ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนในการเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์
นอกจากนี้ การใช้ AI ยังเพิ่มการใช้พลังงานถึงปีละ 26% ถึง 36% และการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 4 ปี ในขณะที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ต้องตระหนัก ในขณะที่ Generative AI ถูกคาดการณ์ว่าจะสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์ถึง 2.5 ล้านตันภายในปี 2030 ขณะที่เราขับเคลื่อนวงการเฮลท์แคร์สู่ยุคดิจิทัล ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์จึงจำเป็นต้องพัฒนานวัตกรรม ที่คำนึงสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลังงาน ทรัพยากร และน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
...
![](https://static.thairath.plus/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWvZ7NzqANIYbKH9nN0pwm0VTjpL.jpg)
- ข้อมูลสารสนเทศ และดิจิทัลเฮลท์ตอบโจทย์พ่อแม่ยุคใหม่
การเลี้ยงดูลูกในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางดิจิทัลมากขึ้น ด้วยการใช้สมาร์ทดีไวซ์และแอปพลิเคชันต่างๆ พ่อแม่ยุคใหม่เข้าถึงข้อมูลที่ช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ที่ไม่เพียงแต่สามารถช่วยในการติดตามและประเมินด้านสุขภาพ แต่ยังสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์แนวโน้มพฤติกรรมของเด็กได้อีกด้วย ในปี 2025 นี้คาดว่าจะมีคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่ใช้แอปพลิเคชันและเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยในการดูแลลูกๆ โดยงานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่า 80% ของพ่อแม่ในสหรัฐอเมริกา และ 79% ของพ่อแม่ในยุโรปสวมใส่หรือใช้อุปกรณ์สมาร์ทเทคโนโลยี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการนำข้อมูลจากสมาร์ทเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยในการดูแลด้านความปลอดภัยและสุขภาพของลูก
อุปกรณ์ภายในบ้านเชื่อมต่อกันมากขึ้นผ่านระบบสมาร์ทโฮม (Smart Home) ทำให้พ่อแม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์วิดีโอและการฟังเพลงผ่านโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สวมใส่ (wearables) และสมาร์ทดีไวซ์ เช่น ถุงเท้า จุกนม และเครื่องติดตามต่างๆ สามารถให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับกิจกรรมหรือสัญญาณชีพของเด็กๆ ได้ รวมถึงการหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และอัตราการเต้นของหัวใจด้วย อุปกรณ์ติดตามที่มี AI บางอย่าง ยังสามารถแปลเสียงร้องของทารก เพื่อให้ผู้ปกครองทราบถึงความต้องการของลูก เช่น ความหิว หรือความต้องการอื่นๆ ได้รวดเร็วขึ้น
เป็นที่ชัดเจนว่าเครื่องมือดิจิทัลกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเลี้ยงดูลูกยุคใหม่และถึงแม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่สามารถทดแทนการดูแลลูกด้วยการลงมือทำจริงๆ แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้พ่อแม่รู้สึกมั่นใจในการดูแลลูกมากขึ้น