ในยุคสมัยหนึ่งผลิตภัณฑ์ความงามและความยั่งยืนดูเหมือนจะยืนอยู่บนเส้นขนาน การคิดค้นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เพื่อความงามของมนุษย์ถูกตั้งคำถามถึงความเป็นมิตรกับธรรมชาติในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะในเรื่องของการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การใช้งานสารเคมีต่างๆ การทดลองกับสัตว์ ไปจนถึงความน่ากังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเรื่องของทรัพยากรน้ำซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่มีการระบุว่าถูกใช้งานอย่างไม่คุ้มค่าและยากจะนำกลับมารีไซเคิล อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกก้าวไปข้างหน้า การตระหนักรู้ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ที่ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะน้อยใหญ่ต่างให้ความสำคัญ วงการความงามเองก็มีการปรับตัวเช่นกัน จากยุคที่ความสวยนำหน้าสู่ยุคที่ความเลอค่าต้องเดินไปพร้อมกับการใส่ใจผลกระทบต่อทุกสรรพสิ่งรอบด้าน Clean Beauty และ Green Beauty กลายเป็นวิถีทางที่เราต่างยึดเป็นหลักเพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่า

อย่างไรก็ดี หากเราลองมองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการลงมือทำ ผู้ที่ยืนอยู่ ณ จุดนั้นก็คือบริษัทความงามชั้นนำของโลกอย่าง “ลอรีอัล กรุ๊ป” ที่เดินหน้านโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 และตลอดเส้นทางนับจากวันนั้นก็ได้มีการพัฒนา ปรับปรุง และนำเสนอแนวทางใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าทุกๆ ความงามจากลอรีอัล คือความงามที่เกิดจากความใส่ใจ เพื่อโลก เพื่อเรา และเพื่อวันพรุ่งนี้

ไทยรัฐออนไลน์ชวนไปติดตามเส้นทางความงามที่สามารถขับเคลื่อนโลกได้ของลอรีอัลไปพร้อมกัน เพื่อร่วมถอดบทเรียนว่าแนวทางการสร้างความยั่งยืนที่ “ลึกยิ่งกว่า” และ “ไปไกลยิ่งกว่า” คำว่า Green และ Clean Beauty คืออะไร พร้อมทำความเข้าใจกับโปรแกรมความยั่งยืนล่าสุดของลอรีอัลที่เรียกว่า “L’Oréal for the Future”

“ลอรีอัล” กับการคิดอย่างรอบด้าน เพื่อการขับเคลื่อนที่เห็นผล

ลอรีอัล กรุ๊ป คือบริษัทความงามชั้นนำของโลกที่ยืนหยัดในวงการมากว่า 115 ปี ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนความแข็งแกร่งในแง่การทำธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันขวบปีเหล่านั้นยังเผยให้เห็นข้อเท็จจริงว่านี่คือบริษัทที่มีความพร้อมในการรับมือทุกความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดในยุคสมัยเราคือวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่พร้อมคุกคามทุกสรรพชีวิตอย่างไม่มีข้อยกเว้น

ลอรีอัลเองในฐานะบริษัทระดับโลกและเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจที่ใกล้ชิดสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนหัวขบวนที่เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนมาก่อนที่คำว่า Sustainable จะแพร่หลาย โดยบริษัทได้มีการวางแผนงานอย่างครอบคลุมพร้อมปลูกฝังเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำงานของทั้งบริษัทและทุกๆ แบรนด์ความงามในเครือ ทั้งยังมีการให้ความใส่ใจตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ไล่เรียงตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การขนส่งสินค้า และไม่เพียงในส่วนของบริษัทเท่านั้น ลอรีอัลยังคิดไปถึงผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรบ้างเมื่อลูกค้าหยิบไปจากชั้นวาง ซึ่งการวางแผนกลยุทธ์ทั้งหมดนี้ ลอรีอัลได้นำเอา “วิทยาศาสตร์” มาใช้เป็นหัวใจหลัก กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets initiative) ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ทุกๆ การดำเนินงานสามารถติดตามผลได้แม่นยำ ถูกต้องชัดเจน และได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังสามารถแน่ใจได้ว่าทุกๆ โครงการนั้น เคารพใน "ขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก (Planetary Boundaries)" หรือขีดจำกัดที่โลกสามารถรับไหว ไม่มีการเบียดเบียดทั้งธรรมชาติและสรรพชีวิต

หนึ่งในเครื่องมือระดับพลิกวงการที่ลอรีอัลพัฒนาขึ้นตามแนวทาง Science Based ก็คือ SPOT (Sustainable Product Optimization Tool) โดย SPOT นับเป็นนวัตกรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลอรีอัลสำหรับใช้วิเคราะห์การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยจะมีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมไปถึงระบุส่วนที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขหาปริมาณการลดลงของผลกระทบในทุกๆ ด้านของผลิตภัณฑ์ ซึ่ง SPOT คือแกนหลักของแผนความยั่งยืนบริษัทในปี 2013 ซึ่งมีชื่อโครงการว่า "การแบ่งปันความงามเพื่อทุกสรรพสิ่ง (Sharing Beauty With All)"

ด้วยการมีหลักยึดที่แข็งแกร่ง ทำให้ลอรีอัลกรุ๊ปสามารถเดินหน้าตามเป้าหมายได้อย่างเป็นระบบและเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยนับจากปี 2005 เป็นต้นมา ลอรีอัล กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานและศูนย์กระจายสินค้าของบริษัทได้ถึง 81% ผ่านการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารสถานที่ให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนในที่ที่สามารถทำได้ เช่น ชีวมวล การผลิตก๊าซชีวภาพ การใช้แผงโซลาร์ และอื่นๆ อีกทั้งยังบรรลุเป้าหมายที่กำหนดในแต่ละที่โดยไม่ใช้การชดเชยคาร์บอนอีกด้วย ซึ่งการวางแผนกลยุทธ์การใช้พลังงานหมุนเวียนนี้จะออกแบบมาให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ของโรงงานเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

การลดปริมาณการลดการปล่อยก๊าซ CO2 คือหนึ่งในการดำเนินการหลักๆ ที่ทุกอุตสาหกรรมต่างให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งลอรีอัลนั้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการดำเนินการดังกล่าว และยังสามารถคงไว้ซึ่งผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมากว่า 20 ปี จนประสบความสำเร็จในการเป็นบริษัทเดียวในโลก ที่ได้รับคะแนนระดับ "A" ในการจัดอันดับทั้งสามด้านของ CDP ได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการอนุรักษ์ป่าไม้ เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน (ข้อมูลจาก https://www.cdp.net/en/responses?queries%5Bname%5D=L%27Or%C3%A9al) และด้วยเหตุนี้ ลอรีอัลจึงนับว่ามีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งสำหรับก้าวต่อไป กับความตั้งใจครั้งใหม่นั่นคือโปรแกรม "L’Oréal For The Future"

"L’Oréal For The Future" อนาคตที่พร้อมทำให้เกิดขึ้นจริง

โปรแกรม "L’Oréal For The Future" คือการเดินหน้าเพื่อสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลกครั้งล่าสุดของลอรีอัล ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวเป็นการต่อยอดความสำเร็จที่ผ่านมา มุ่งเดินหน้าสู่ความท้าทายใหม่ๆ พร้อมนำพาวงการความงามก้าวสู่ความ Green และ Clean อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคยมีมา โดยลอรีอัลได้เผยถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังของโปรแกรมนี้เอาไว้ว่า ต้องการให้ไซต์งานทั้งหมดใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 (ปัจจุบันมีไซต์งานที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% 131 แห่ง คิดเป็น 79%) และภายในปี 2030 จะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2 ที่เป็นผลมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท 25% เมื่อเทียบกับปี 2016

เหตุนี้เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้มีการดำเนินงานในหลากหลายมิติ ทั้งส่วนที่ตั้งเป้าหมายไว้, ส่วนที่อยู่ระหว่างทาง และส่วนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ประกอบด้วยด้านต่างๆ ได้แก่

นโยบายเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์พลาสติก

ประเด็นเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์เป็นสิ่งที่ลอรีอัลให้ความสำคัญมาตั้งแต่ปี 2007 หรือกว่า 17 ปีมาแล้ว หลังบริษัทตั้งเป้าหมาย "L’Oréal For The Future" ก็ได้เพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการจุดนี้เพิ่มยิ่งขึ้นไปอีกขั้นโดยนอกเหนือไปจากการใช้เครื่องมือ SPOT ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี (ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในปี 2022 ผ่านการประเมินด้วยเครื่องมือ SPOT) ยังมีการวางกรอบเป้าหมายการลดความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์ในหลายวิธี เช่น การปรับให้มีน้ำหนักเบาเพื่อลดการใช้ทรัพยากร, เปลี่ยนใช้วัสดุที่มาจากการนำกลับมาหมุนเวียน มองหาวัสดุจากแหล่งทรัพยากรที่สามารถทดแทนใหม่ได้แทนวัตถุดิบอื่นๆ, คิดค้นการทำบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ อาทิ ขวดน้ำหอมที่เติมใหม่ได้ พัฒนาการใช้งานแบบแบบรีฟิลสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงผิว และออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่สามารถบรรจุกล่องกระดาษแทนขวดพลาสติก

โดย ในปี 2022 97% ของผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นหรือปรับปรุงใหม่ในปี 2022 มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ 98% ของกระดาษที่ใช้สำหรับใบปลิวผลิตภัณฑ์และ 99.9% ของกระดาษที่ใช้สำหรับกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ ได้รับการรับรองว่ามาจากป่าไม้ที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน และสำหรับในปี 2023 26% ของพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ของลอรีอัลมาจากการรีไซเคิลหรือแหล่งวัตถุดิบชีวภาพ และ 85% ของปริมาณพลาสติก PET ที่ลอรีอัลใช้ทั่วโลกในปี 2023 มาจากการรีไซเคิล

และภายในปี 2025 บรรจุภัณฑ์พลาสติกของลอรีอัลทั้ง 100% จะสามารถใช้ในการเติมซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ นำไปรีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ ต่อยอดไปสู่การบรรลุเป้าหมายหลักในปี 2030 นั่นคือบรรจุภัณฑ์พลาสติกของลอรีอัลทั้ง 100% จะต้องมาจากพลาสติกรีไซเคิล หรือวัสดุชีวภาพ

การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

น้ำที่มีคุณภาพคือรากฐานที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ความงาม ลอรีอัลที่เข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดีจึงได้มีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแค่เพื่อการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศแต่ยังเพื่อตอบโจทย์การอนุรักษ์น้ำอย่างยั่งยืนตามแนวทาง Science Based โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีส่วนร่วมในการรักษาคุณภาพน้ำตลอดห่วงโซ่มูลค่า ทั้งในส่วนที่นำมาใช้งาน ไปจนถึงพื้นที่ลุ่มน้ำ ตลอดจนชุมชนใกล้เคียง ซึ่งโรงงาน 5 แห่งของลอรีอัลได้มีการติดตั้งนวัตกรรม “ระบบน้ำแบบหมุนเวียน” ทำให้น้ำทั้งหมดที่ใช้ในโรงงาน 5 แห่งได้แก่ โรงงานที่ Burgos (สเปน), Libramont (เบลเยียม), Vichy, Rambouille และ Aulnay (ฝรั่งเศส) จะถูกนำมาบำบัด รีไซเคิล และวนกลับมาใช้ใหม่

และเพื่อจะเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนนี้ บริษัทประเมินสูตรผลิตภัณฑ์ทุกสูตรด้วยแพลตฟอร์มทดสอบสภาพแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์นั้นเป็นมิตรต่อระบบนิเวศทางน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะบนภาคพื้นหรือชายฝั่ง รวมไปถึงพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถลดปริมาณการใช้น้ำจากการใช้ผลิตภัณฑ์เฉลี่ย 25% ต่อผลิตภัณฑ์ เมื่อเทียบกับปี 2016 (อาทิ การออกแบบครีมนวดผมชนิดที่ไม่ต้องล้างน้ำ เป็นต้น) โดยตั้งเป้าที่จะบรรลุภายในปี 2030

Green Science และ การเคารพความหลากหลายทางชีวภาพ

ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ขาดระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ลอรีอัลจึงมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะนำวิทยาการสมัยใหม่ โดยเฉพาะกับ Green Science และ Green Chemistry มาใช้งานในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความเติบโตให้แวดวงความงามไปพร้อมๆ กับการอยู่เคียงข้างโลกอย่างยั่งยืน

ศาสตร์ดังกล่าวได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ลอรีอัล เป็นตัวช่วยพลิกวิธีการคิด กระบวนการผลิต และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นกระบวนการที่ใส่ใจโลกและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อาทิ การเพาะปลูกส่วนผสมที่ยั่งยืนด้วยวิทยาการใหม่ๆ, การพัฒนาวิธีสกัดสารสำคัญจากธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ทั้งเพื่อลดการใช้สารเคมี และยังทำร้ายสิ่งแวดล้อมน้อยลง

มีตัวเลขที่น่าสนใจคือปัจจุบันลอรีอัลใช้งานส่วนผสมธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบชีวภาพอยู่ที่ประมาณ 65% (ซึ่งได้มาจากแร่ธาตุที่มีจำนวนมากถึง 80% ในโลก) วัตถุดิบชีวภาพดังกล่าวสามารถย่อยสลายในธรรมชาติได้ง่าย เช่น กรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งได้มาจากแป้งข้าวโพดและใช้สำหรับการสร้างเนื้อสัมผัส อีก 32% เป็นวัตถุดิบธรรมชาติหรือมีแหล่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น วิตามินซี และยังมีอีก 29% เป็นส่วนผสมที่ได้จาก Green Chemistry หรือกระบวนการทางเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความยั่งยืน ใช้พลังงานต่ำ และสารทำละลายที่อ่อนโยนอย่างน้ำและเอทานอล ไปพร้อมๆ กับการลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น หรือสามารถสรุปได้ว่าวัตถุดิบที่ผสมผสานอยู่ในผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลจำนวนมากเป็นมิตรกับธรรมชาติอย่างยิ่ง สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและมีปริมาณการใช้น้ำเพียงน้อยนิด

การใส่ใจในกระบวนการผลิตยังส่งผลสืบเนื่องไปถึงการรักษาความงามของโลกทั้งใบโดยตรง กล่าวคือ เมื่อบริษัทพิถีพิถันในการบริหารจัดการวัตถุดิบ ก็ทำให้ภารกิจรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพบรรลุไปพร้อมกัน โดยปัจจุบัน 93% ของส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติในสูตรของลอรีอัลสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากแหล่งที่ยั่งยืน และไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า

ในปี 2021 ในกลุ่มวัตถุดิบที่ลอรีอัลนำเสนอขึ้นมาใหม่นั้น 63% เป็นวัตถุดิบที่ใช้แล้วไม่หมดไป และ 25% ในจำนวนนั้นเป็นเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมวัตถุดิบราว 1,778 อย่างจากพืชพันธุ์ต่างๆ เกือบ 345 ชนิดที่มาจากกว่าร้อยประเทศ โดย 93% ของส่วนผสมที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ มาจากแหล่งที่ได้รับการรับรองว่ามีความยั่งยืน นอกจากนี้ ในปี 2022 96% ของผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือที่ปรับโฉมใหม่ มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคม อาทิ มีการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, น้ำมันปาล์ม สารอนุพันธ์น้ำมันปาล์ม และน้ำมันจากเนื้อในเมล็ดปาล์มที่บริษัทใช้ทั้งหมด 100% ได้รับการรับรองแล้วว่ามีความยั่งยืนตามมาตรฐาน RSPO มาตั้งแต่ปี 2012, กระดาษทั้งหมด 100% ที่ใช้จัดทำแผ่นพับข้อมูลที่บรรจุในกล่องผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองว่ามีความยั่งยืน

ทั้งนี้เป้าหมายในปี 2030 ของลอรีอัลในมิติการใช้งานวัตถุดิบและการรักษาความหลากหลายทางธรรมชาติก็คือความตั้งใจที่จะทำให้โรงงานอุตสาหกรรม และอาคารสถานประกอบการทั้งหมด 100% สร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อเทียบกับปี 2019

ความงามที่ขับเคลื่อนโลกอย่างยั่งยืน

จากจุดเริ่มต้นในการมองเห็นว่าความงามที่แท้จริงนั้นต้องขับเคลื่อนโลกได้อย่างยั่งยืน ได้นำพาลอรีอัลออกเดินบนเส้นทางสีเขียวมาอย่างยาวนานนับทศวรรษจนปัจจุบันบริษัทแห่งนี้มาถึงจุดที่เป็นมากกว่าแค่ผู้นำเสนอความงามแก่มนุษย์แต่ยังพร้อมอยู่เคียงข้างความงามของโลกใบนี้ในทุกมิติ

มีการคาดการณ์ว่าลอรีอัลลงทุนไปกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงตลอดกระบวนการทั้งภายในและภายนอกเป็นเม็ดเงินมหาศาล ชวนให้ตั้งคำถามในวันที่เริ่มต้นว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อโลกหมุนมาถึงจุดที่ทุกภาคส่วนต่างลงความเห็นว่าการใส่ใจสิ่งแวดล้อมคือทางรอดมิใช่ทางเลือก ก็เหมือนว่าเราจะได้คำตอบที่แน่ชัดแล้วว่านี่คือวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องของบริษัทความงามที่มองไปไกลกว่าและลึกกว่าแค่เรื่องราวของตนเองเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้โปรแกรม “L’Oréal for the Future” ที่กำลังเดินหน้าอย่างชัดเจนและแน่นอนนี้น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง และยังทำให้เราเฝ้าคิดต่อไปว่าหลังปี 2030 ลอรีอัลมีแผนการอะไรรออยู่อีกบ้างสำหรับอนาคต

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.loreal.com/en/commitments-and-responsibilities/for-the-planet/fighting-climate-change/

https://www.loreal.com/en/group/about-loreal/our-purpose/reducing-plastic-packaging/

https://www.loreal.com/en/group/about-loreal/our-purpose/green-sciences/

https://www.loreal.com/en/commitments-and-responsibilities/for-the-planet/respecting-biodiversity/

https://www.loreal-finance.com/en/annual-report-2023/social-environmental-performance/