“ทุกวันนี้ตือไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นอะไร ตือทำทุกอย่างเพราะตือมีความสุข ตือไปรีวิวโน่นนี่นั่นหลายอย่าง เพราะอยากช่วยเหลือคน ทำให้เขาค้าขายได้ ตือเจอข้าวแกงริมถนน 10 บาท ก็โปรโมตให้เขา คนดู 3-4 ล้านวิว มีคนต่อแถวยาวขายดิบขายดี มันเป็นความฟูของหัวใจที่ได้ช่วยคน มันฟินนะ”...นี่คือหนึ่งในเรื่องดีๆของป้ามีทุกวัน ที่ “ป้าตือ–สมบัษร ถิระสาโรช” ออร์กาไนเซอร์มือหนึ่งของไทย หยิบมาแชร์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจน้อยนิดแต่มหาศาล

ชีวิตป้าตือมาไกลเกินฝันแค่ไหน

สมัยเด็กคิดว่าเงินสำคัญที่สุดในชีวิต ตืออยากมีเงินอยากมีชื่อเสียง ถึงได้เข้ากรุงเทพฯมาหางานทำ แต่วันนี้บทสรุปคือ เงินเป็นแค่เครื่องอำนวยความสะดวกสบายในชีวิต แต่มันไม่ได้เป็นความสุขแท้จริง ความสุขแท้จริงคือ ตือได้สร้างผลงานดีๆ และได้ลูกค้ามาเป็นเพื่อน ได้มีความสุขกับการทำงาน ถ้าพรุ่งนี้ตือตายไปก็คุ้มแล้ว!! ตือคิดแบบนี้จริงๆ เงินและชื่อเสียงที่ได้มา เราต้องขอบคุณสังคมที่ให้สิ่งดีๆกับเรา

...

โลกเปลี่ยนไปเร็วมาก ทำยังไงป้าตือไม่เคยตกยุค

ถ้าถามตือตรงๆ การที่โลกไปเร็ว เราก็ต้องรู้โลก อาชีพตือต้องเห็นก่อนว่าโลกไปทางไหน จะมาจัดงานวันต่อวันมันคงไม่ได้ ต้องตีให้แตกว่าพฤติกรรมของคนตอนนี้เป็นยังไง เราเห็นอะไรในโลกใบนี้ก็ต้องนำมาประกอบร่าง ตือเป็นนักฉวยโอกาส ตือนำสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้มารวมกันสร้างเป็นผลงานของตือ เพราะเราไม่ได้มาสายอัจฉริยะ เรามาสายนักฉวยโอกาสยำทุกอย่างเข้าด้วยกัน งานทุกงานมีอายุของมัน พอหมดเวลาปั๊บ เค้าก็จะกลายเป็นเรื่องเก่า แล้วก็มีเรื่องใหม่เข้ามา ถ้างานนี้ตอบโจทย์ในเวลานั้น แล้วทำให้เกิดการค้าขายขึ้น อันนั้นคือความสำเร็จของเรา ตือไม่ต้องการให้คนชมว่างานสวยจัดงานดี แต่อยากให้คนชมว่างานนี้สินค้าดี แล้วเทิร์นกลับเป็นธุรกิจ

ป้าตือคนเดิมกับป้าตือวันนี้แตกต่างกันขนาดไหน

สมัยก่อนตือเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เป็นคนเรื่องเยอะ ดีเทล จุกจิก และวุ่นวายกับทุกเรื่อง ไม่เคยไว้ใจใคร เป็นคนวี้ด แต่วันหนึ่งลูกน้องตือ บอกว่ามะม่วงสุกมันมีวิธีปลูกไม่เหมือนกัน ตือรู้สึกว่าลูกน้องคนนี้เก่งมากที่กล้าพูด และตือก็จำสิ่งนี้มาถึงวันนี้ มันทำให้ตือปล่อยวางทุกอย่างได้สบายๆ เพราะสุดท้ายมันไม่ได้เกิดความเสียหายอย่างที่คิด การปลูกมะม่วงสุกอยู่ที่เราจะรดน้ำพรวนดินยังไง ทุกอย่างจะสุขจะทุกข์อยู่ที่ตัวเราจริงๆ ตือเลือกที่จะไม่มีสิ่งไม่ดีอยู่ในหัวตือ หัวตือต้องโล่ง ของไม่ดีของเน่าๆเอาออกทิ้งไปหมด

จากคนเบื้องหลังมาสู่เบื้องหน้าได้อย่างไร

ตือไปเป็นหนึ่งในกรรมการของรายการ “เดอะ เฟซ ไทยแลนด์” เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ภาพที่ออกมาทางทีวีทำให้คนรู้จักตัวตนของตือมากขึ้น กลายเป็นการคิกออฟของตือ แต่ถ้าจะต่อยอดจากตรงนี้เราต้องปรับตัวเองให้คนเห็นตัวตนที่ดีของเรา ต้องรีแบรนดิ้งตัวเองใหม่ ตือเลยตัดสินใจทำรายการ “ตือสนิท” ออกโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง เราเป็นคนพูดเสียงดัง เพราะหูตึง แต่เราเป็นคนสนุกและตลก เราชอบอยู่กับเพื่อน นี่คือสิ่งที่เป็นตัวตนของตือ ซึ่งพอทำออกไป คนชอบความเป็นตือแบบนี้ แต่สำหรับตือการสนุกอย่างเดียวมันไร้สาระ เราโตมากับการขายของ ตือเลยทำให้การขายของเป็นเรื่องสนุก เทปแรกก็ตูมเลย มันทำลายทุกอย่างในเรื่องการทำโฆษณา อยากทำอะไรก็ทำ ตัดต่อแบบจัมพ์ๆๆ ทุกอย่างผิดกฎหมดเลย จนสมาคมโฆษณาขอรายการนี้เป็นกรณีศึกษา คลิปแรกออกมา 2 วัน ได้ยอดล้านวิว ทำมาเรื่อยๆ 300 กว่าเทป ภายในเวลา 2 ปีกว่า ได้ยอดล้านวิวทุกเทป ขายได้ตอนละ 4 แสนบาท แต่ตือตัดสินใจหยุด!!

ทำไมป้าตือยอมทิ้งความสำเร็จตอนที่รุ่งสุดๆ

ตือต้องบอกว่าทำอะไรต้องทำให้เป็นตำนาน ตอนหลังมีคนทำเทคนิคการตัดต่อแบบนั้นเยอะ ทั้งดาราและเซเลบ เราเป็นคนบุกเบิกก็จริง แต่เราต้องหยุดตอนที่พีกเพื่อให้คนจำ อย่าทำไปจนมันตก ไปสุดปั๊บเราต้องเบรกก่อน เลยหยุดทำรายการยาวแบบเดิมๆ

...

แล้วกระโดดมาเป็นดาว Tik Tok อีท่าไหน

ขณะที่ทำรายการตือสนิท ก็ทำงานออร์กาไนเซอร์ควบคู่กัน แต่ตอนนั้นยังหาจุดเชื่อมโยงระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์ไม่ได้ ตือมาตั้งสติใหม่ ทำยังไงให้สองอันนี้เชื่อมกันได้ ลองผิดลองถูกกับแพลตฟอร์มหลายๆอย่าง จนค้นพบว่าแพลตฟอร์มที่ทำให้ตือเข้าถึงคนได้มากที่สุดคือ TikTok ทำให้คนเข้าใจตัวตนของเรามากที่สุด เห็นไลฟ์สไตล์ของเรามากที่สุด ที่สำคัญ TikTok เข้าสู่กระบวนการเชื่อมออฟไลน์กับออนไลน์ได้ดีมาก

ขอเคล็ดลับหน่อยค่ะ เล่น TikTok ยังไงให้ปัง

หมดยุคแล้วที่คนจะพูดว่า Content is king เพราะยุคนี้ Real is king ตือรู้สึกว่าความเรียลเป็นสิ่งที่ทำให้คนรักเรา เข้าใจเรา และให้โอกาสดีๆกับเรา สมัยก่อนเราจะพูดกันเรื่องทาร์เก็ตกรุ๊ปแบ่งลูกค้าตามอายุ แต่สมัยนี้การพูดแบบนั้นมันไม่ใช่แล้ว เราจะพูดถึง “การสร้างคอมมูนิตี้” คือการดึงคนที่ชอบสิ่งเหมือนกัน เชื่อมกันด้วยความสนใจ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็อยู่ด้วยกันได้ หน้าที่ของเราคือต้องดูแลคอมมูนิตี้นี้ให้ดี เมื่อดีเอ็นเอของตือทั้งออฟไลน์และออนไลน์ชนกันได้ปั๊บ มันก็เลยเก็บตรงนี้ที่เป็นเอกซ์พีเรียนส์ทางออฟไลน์ได้ และส่งต่อไปเป็นอะแวร์เนสทางออนไลน์ได้

...

คอมมูนิตี้แบบไหนที่ป้าตือดูแลอยู่

คนที่อยู่กับตือจะชอบดูอะไรที่สนุก อารมณ์ดี ไม่มีท็อกซิก ไม่ชอบดูอะไรที่แย่ๆ ไม่ชอบเครียด เข้ามาต้องขำ ถ้าไม่ขำก็หมั่นไส้ ออนไลน์ของตือจะไม่ทำเฉพาะเรื่องเดียว แต่เน้นความหลากหลาย ตือเรียนรู้จากตอนทำตือสนิท มันจะเป็นเส้นเดียวตลอด ถามว่าโตได้ไหมก็โต แต่มันจะต้องมีวันสิ้นสุด พอตือเปลี่ยนแผนปั๊บ ทั้งตือสนิท และ Tueslove เราเอาทุกเซ็กเมนต์ คือขายของลักชัวรีก็ขาย งานไปตลาดสดเราก็ไป งานท่องเที่ยวเราก็เอา กลุ่มนักศึกษาเราก็ไป กลุ่มผู้สูงอายุเราก็ไป กลุ่มแฟชั่นและบิวตี้เราก็ไป ทำงานกับตือได้ลงทุกแพลตฟอร์ม สมัยก่อนคนชอบดูความสนุกยาวๆ สมัยนี้คนชอบดูอะไรสั้นๆเร็วๆเบื่อง่าย

เห็นเทรนด์อะไรใหม่ๆในอนาคตบ้าง

ตือสังเกตเห็นว่าคนเริ่มดูมือถือควบคู่ไปกับอะไรที่เป็นอนาล็อก จากการที่คนชอบถ่ายรูปจากกล้อง จากการที่คนไปซื้อหนังสือมาอ่าน จากการที่คนดูทีวี คนเริ่มจะแบ่งเวลาตัวเองมี 2 พาร์ตในชีวิต ไม่ได้อยู่แต่กับมือถือทั้งวัน ตอนนี้สื่อเริ่มเปลี่ยนอีกแล้ว คนจะมาพูดออนไลน์ๆๆอย่างเดียวไม่จริงแล้ว จากลูกค้าที่มาทำงานอีเวนต์กับตือ หลายคนเริ่มย้อนกลับไปหาวันวานเก่าๆ ลูกค้าเริ่มลงทุนกับออนไลน์ควบคู่อนาล็อก ลูกค้าเริ่มเล่นกับฮิวแมนอินไซด์ของมนุษย์มากขึ้น วันนี้เราต้องตีคู่ มันคือบาลานซ์ในการเสพ พอสปีดไปข้างหน้าเยอะเราจะเหนื่อย มันมีช่วงเวลาที่ต้องบาลานซ์ตัวเองกลับมาสู่โหมดสโลว์ไลฟ์

...

อะไรคือทักษะอนาคตที่ต้องมีเพื่อความอยู่รอด

“ต้องปรับตัวตลอดเวลา โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง” อาชีพตือเจอคนเยอะ วันๆหนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยคน และต้องทำงานกับคนหลายรุ่นรวมกัน มีทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง คนที่เราเจอจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามกาลเวลา แต่เรายังอยู่ ทำให้เราต้องอยู่กับคนทุกคนให้ได้ และต้องเรียนรู้ว่าความคิดของคนเปลี่ยนไปยังไง โลกเปลี่ยนไปยังไง มันเลยทำให้ตืออยู่ได้กับทุกคน อีกอย่างคือ “ต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้” ตือเนี่ยไม่รู้อะไรก็ไปหาคนที่เขารู้แล้วให้เขาช่วยสอนเราหน่อย ตือเป็นคนลักษณะนี้บางอย่างตือไม่รู้จะให้เด็กสอนเราเลย เราเป็นครูสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยมาเกือบ 40 ปี แต่ยังต้องเรียนรู้กับคนรุ่นใหม่ หรือเรียนรู้กับคนที่รู้จริง ส่วนเรื่อง “การสร้างคอนเนกชัน” ก็เป็นเรื่องสำคัญ ทำให้เราต่อสเต็ปไปได้เรื่อยๆ และขาดไม่ได้คือ “ความขยันไม่เคยทรยศใคร” ทำให้เราอยู่ได้ทุกแพลตฟอร์ม ตือทำอะไรจะทำอย่างสม่ำเสมอ เหมือนเราอยู่เป็นเพื่อนเขา ไม่ต้องแคร์ยอดวิวยอดฟอลโลว์ เพราะการอินเตอร์แอ็กและการเอนเกจสำคัญที่สุด คนหนึ่งคนได้รับสิ่งดีๆ จากเราไปถือว่าคุ้มแล้ว มันเป็นความเรียลที่ทำให้คนมีความสุข และมันก็เป็นรางวัลของเรา เป็นการส่งพลังดีๆออกไป

พลังเหลือเฟือขนาดนี้ ช่วงที่ใจดิ่งทำยังไง

เราต้องรู้ตัวเอง เกิดอะไรขึ้นปั๊บต้องรีบหาทางผ่องถ่าย จะบำบัดด้วยการช็อปปิ้งไหม ถ้ามันไม่หลุดคุยกับแฟนคุยกับเพื่อน หรือไม่ก็ไปดูหนัง เพื่อให้ตัวเองหลุดจากตรงนั้น ตือเป็นคนพูดตรง ถ้ามีปัญหาจะพูดให้จบ เป็นคนไม่ชอบให้มีอะไรค้าง ตื่นเช้ามาหัวสมองต้องโล่ง เพื่อเอามาเก็บเรื่องราวดีๆ

ฝากบอกอะไรถึงเด็กรุ่นใหม่บ้าง

ตืออยากบอกว่าขอให้ทุกคนนำความเรียลออกมา อะไรที่คิดแล้วให้ทำเลย ไม่ต้องรอ แค่เรายืนอยู่กับที่เราก็ช้ากว่าคนอื่นแล้ว ขนาดว่าเราเจ๋งแล้วนะ เราก็ช้ากว่าคนอื่นแล้ว เชื่อตือถ้าทุกอย่างมีความสุขเป็นสารตั้งต้น ไม่ว่าจะทำอะไรกับใครที่ไหนก็ย่อมมีความสุข ตือชอบคบเพื่อนเด็ก เพราะตือได้เรียนรู้จากพวกเขา ได้เอเนอร์จี้ใหม่มาเรื่อยๆ

สูงวัยยังไงให้มีความสุขแบบป้าตือ

ตืออายุ 60 แล้ว ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ตือแก่ ตือว่าเรื่องสังคมผู้สูงวัยไม่มีแล้ว ใครมาพูดเรื่องนี้แสดงว่าคุณกำลังอยู่ในกรอบ อยู่กับตัวเองมากเกินไป โลกทุกวันนี้ต้องเปิดกว้าง การอยู่ร่วมกันเป็นคอมมูนิตี้และการแชร์ริ่งเป็นสิ่งสำคัญ หาให้เจอว่าพื้นที่ไหนที่เราอยู่แล้วมีความสุขก็ไปอยู่ตรงนั้นซะ.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ