“ภูมิใจในการต่อยอด สร้างชื่อ เลิศทิพย์ ให้ทุกคนรู้จักในระดับประเทศ และระดับโลกด้วย จากรางวัลต่างๆที่เราได้มา” ความรู้สึกของผู้บริหารไฟแรง “กมล ชอบดีงาม” ที่ได้เข้ามารับไม้ต่อธุรกิจของครอบครัวในการทำหน้าที่เป็นหัวเรือของร้านอาหารจีนแต้จิ๋วระดับตำนาน ร้านเลิศทิพย์ ที่มีประวัติยาวนานถึง 80 ปี

กมล ชอบดีงาม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เชฟกิ๊ก” ทายาทรุ่นที่ 3 ของร้านอาหารเลิศทิพย์ ที่ได้สืบทอดกิจการจากรุ่นปู่ และรุ่นพ่อ พร้อมได้นำประสบการณ์ของคนรุ่นใหม่มาต่อยอดพัฒนาธุรกิจให้ร่วมสมัยที่ยังคงรสชาติความอร่อยในแบบดั้งเดิม เส้นทางกว่ามาถึงวันนี้ เชฟกิ๊ก เล่าว่า เดิมทีไม่ได้คิดมาทำงานร้านอาหารของที่บ้าน เพราะหลังจบทางด้านธุรกิจการท่องเที่ยว ที่วิทยาลัยดุสิตธานี ก็ออกมาทำงานพิธีกร และเปิดบริษัทออร์กาไนซ์ รับทำอีเวนต์ต่างๆอยู่สิบปีจนอิ่มตัวผนวกกับพ่อไม่ค่อยสบาย จึงเลยเข้ามาดูแลกิจการ ร้านเลิศทิพย์ ที่ตั้งอยู่ถนนลาดพร้าววังหิน 70 รับหน้าที่เป็นทั้งเชฟ และผู้บริหารกิจการ แม้จะห่างเหินจากกระทะ ตะหลิวในครัวมาเป็นสิบปี ด้วยความที่เติบโตมาก็เห็นหม้อกระทะ ความชำนาญต่างๆ ในการทำอาหารที่ได้รับมาจากพ่อก็ฟื้นคืนได้ในเวลาไม่นาน

...

“การเป็นเชฟของผมมาจากสายเลือดมากกว่า ไม่ว่าเราจะหนีอย่างไรก็ตาม พอเรากลับมาทำ เราก็จุดติดทันที มันอยู่ในสายเลือดความทรงจำ ตอนเราเข้ามาดูแลแรกๆ ก็มีแรงต่อต้านจากครอบครัว เหมือนเราจะเปลี่ยน แต่คนสมัยโบราณเขาไม่อยากจะเปลี่ยน ขายแบบเดิมไม่ต้องทำอะไรเยอะแยะ เลยบอกว่า ถ้าทำแบบเดิมๆ เรื่อยๆ แบบนี้ เราไม่ทำดีกว่า พยายามหักว่าจะทำแบบนี้นะ จะเปลี่ยนเมนูอาหาร ที่บ้านก็บอกว่า จะมีใครกิน วัตถุดิบก็แพง ใครจะมากิน ซึ่งผมก็คิดว่า ถ้าเราทำสิ่งดีๆ ที่มอบให้ลูกค้า เขาก็คงตอบรับเรา เราก็ทำเต็มที่ของเรา และสิ่งที่เราทำ เป็นสิ่งที่ทำแล้วมันเพิ่มมูลค่าให้แก่อาหาร และรสชาติอาหาร และสิ่งที่สำคัญ มอบความสุขให้แก่คนกิน เราก็ทำเต็มที่ ส่งผลมาจนปัจจุบันนี้ ว่า มีกลุ่มลูกค้าที่ตอบรับเรานะ เรารู้สึกว่า ดีใจแฮปปี้กับสิ่งที่เราทำ” เชฟไฟแรงเล่าถึงความตั้งใจในการทำงาน

จากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารเก่งคนนี้ ได้นำพาธุรกิจร้านอาหารของครอบครัวให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความอร่อยการันตีด้วยรางวัลต่างๆ อาทิ รางวัล Asia’s 50 Best Restaurant รวมทั้งมีชื่อชั้นเป็น “เชฟกระทะเหล็ก” ซึ่ง เชฟกิ๊ก เล่าว่า ตนไปแข่งรายการเชฟกระทะเป็นผู้ชนะเชฟกระทะเหล็ก ปี 2015 เชฟอาหารจีน และเป็นผู้เข้าร่วมแข่งขันท็อปเชฟ ซีซัน 1 ที่เมืองไทย การประกวดทั้ง 2 เวทีเป็นการเปิดโลกของตนเอง ได้รับทั้งความรู้จากเพื่อนๆในวงการอาหาร และได้รู้จักคนในวงการอาหารมากขึ้น ซึ่งประสบการณ์ต่างๆได้นำมาปรับใช้และเป็นประโยชน์กับธุรกิจอย่างมาก ปัจจุบันเพิ่งเปิดสาขาที่ชั้น 1 สยามพารากอน ส่วนปลายปีจะเปิดที่โครงการ ดิ เอ็มสเฟียร์ รวมทั้งการทำเชฟส์เทเบิลแบบเหลาๆ สไตล์ฮ่องกง-มาเก๊า ที่ติดตามได้ทาง IG : @chef_gigg_kamol

“ถ้าไม่ไปแข่งขัน ก็คงไม่มีเชฟกิ๊ก วันนี้ที่มีความคิดที่แตกยอดมากขึ้น เหมือนเราถ้าไม่ได้ออกไปดูงานข้างนอก ซึ่งถ้าเราก็อยู่แต่ในกรอบของเรา เราไม่เห็นอะไร แต่ถ้าเราเปิดใจปุ๊บ ทุกอย่างจะงอกงาม จะเกิดสิ่งดีๆให้กับชีวิตเรามากขึ้น ผมโตมากับร้านอาหาร ทุกวันนี้เราเลี้ยงชีพด้วยมรดกจากครอบครัว คือวิชาจากร้านอาหาร ที่เป็นมรดกที่สำคัญที่สุดของเรา ที่จะมอบส่งต่อรุ่นต่อรุ่น และเป็นการซึมซับทางวัฒนธรรม โดยที่เราจะต้องส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป ความสำเร็จในการทำงานผมมองว่าเราต้องมีเป้าหมายกับชีวิต มีเป้าหมายแล้วลุกมาทำ ถ้าคุณมีเป้าหมาย แต่ไม่ลุกขึ้นมาทำ ก็ไม่มีวันสำเร็จ เรามีเป้าหมาย มองแล้ววิ่งเข้าหาเป้าหมาย ทำทุกวัน ทำให้ดีที่สุด แล้วความสำเร็จจะมาหาคุณเอง ต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา”...นี่คือคีย์ความสำเร็จของผู้บริหารคนนี้.