ถือเป็นต้นแบบของเถ้าแก่ยุคใหม่ที่กล้าดิสรัปตัวเองตลอดเวลาเพื่อให้ทันยุคทันสมัย สำหรับ “เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” หลังจากสร้างแรงกระเพื่อมไปทุกวงการด้วยการลุกขึ้นมาพลิกโฉม “อาร์เอส กรุ๊ป” จากเจ้าแห่งเอนเตอร์เทนเมนต์สู่การทำธุรกิจคอมเมิร์ซเต็มตัวภายใต้โมเดลใหม่ “Entertainmerce” หลายคนสงสัยว่าเฮียฮ้อยังจะปล่อยหมัดเด็ดอะไรอีก และทำยังไงถึงไฟแรงเฟร่อไม่มีถอย!!

ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงดิสรัปตัวเองได้ไม่หยุดยั้ง

เป็นคนชอบหาเรื่องมั้ง (หัวเราะ) สำหรับเฮียชีวิตงานและชีวิตส่วนตัวคือเรื่องเดียวกัน ซ้อและลูกๆก็ถามว่าทำไมเฮียยังสนุกกับงานเหมือนตอนหนุ่ม คงเพราะเราไม่ได้แยกว่านี่เป็นเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว อีกอย่างเฮียเป็นคนไม่ได้มีงานอดิเรกอะไร ก็เหมือนเรื่องงานกลายเป็นงานอดิเรก จึงทำงานด้วยความสนุกและชอบความท้าทาย เฮียเป็นคนไม่หยุดคิดและชอบจะคิดตลอดเวลา โชคดีที่เป็นคนวางเป็น ถ้าเรื่องงานกลับบ้านปุ๊บจะวางแล้ว หนึ่งชั่วโมงไปเดินออกกำลังกาย 4-5 กิโล ทำแบบนี้ทุกเย็นเสร็จแล้วค่อยกลับมาคิดต่อ

...

กุมอาณาจักรธุรกิจหลายหมื่นล้าน เวลาเครียดมีวิธีปลดล็อกยังไง

การอยู่กับน้องหมา ได้กอดได้เล่นกับเขาทั้งวัน ช่วยให้หายเครียดได้ เฮียมีอยู่สองตัวคือ “แบงเกอร์” พันธุ์เฟรนช์บูลด็อก และ “ไท เกอร์” พันธุ์อิงลิชบูลด็อก สองตัวนี้นิสัยต่างกันเลย “แบงเกอร์” เฮียรักมาก ตั้งแต่ ได้เขามาไม่ได้ไปต่างประเทศ 5 ปีแล้ว ตอนนี้เขาอายุ 6 ปี เราห่วงและรักเหมือนลูกเลย เพราะเป็นหมาตัวแรกที่มีเวลาเลี้ยงจริงๆ ถ้าว่างเมื่อไหร่จะป้อนข้าวเองและอาบน้ำให้เอง รักเขาเหมือนลูก เพราะเขาฟังเข้าใจรับรู้เรื่องทุกอย่าง เวลาเราเข้าบ้าน “แบงเกอร์” จะวิ่งมาจุ๊บที่ปาก หรืออย่างตอนเช้าเฮียจะนั่งดื่มกาแฟอ่านข่าวที่มุมประจำ “แบงเกอร์” จะโดดมานั่งบนตักนิ่งๆ 1-2 ชั่วโมง ให้เรากอดเราหอม ทุกเช้าเป็นแบบนี้ ส่วน “ไทเกอร์” อายุ 3 ขวบ จะออกตลกๆ นิสัยซนดื้อ เกเรหน่อย เอาแต่ใจ เขาทำให้เราหัวเราะได้ตลอด ถ้าคุยเรื่องหมานี่คุยได้ยาวเลย นี่คือความสุขของเฮียฮ้อ!! แต่ถ้าเวลาเครียดมากๆ เฮียจะชอบนอน โชคดีที่เป็นคนหลับง่าย เครียดปุ๊บจะไปหาที่นอน นอนตื่นมาก็สบายหัว ชีวิตมันก็แค่นี้ เราไม่ค่อยเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ชีวิตเลยไม่วุ่นวาย

ร่ำลือกันว่าเฮียดุ ใจร้อน และสู้ไม่ถอยเพื่อชัยชนะ ตอนนี้ผ่อนลงบ้างไหม

อย่าเรียกว่าใจร้อนเลย คิดเร็วทำเร็วมากกว่า เฮียเป็นนักสู้ ทำอะไรทำจริง ไม่ค่อยกลัวปัญหา เฮียจะแสวงหาโอกาสตลอดเวลา และสนุกกับการเรียนรู้ มองทุกอย่างรอบตัวเป็นโอกาสหมด นิสัยเฮียคิดออกปุ๊บจะจดไว้เลย เพราะเป็นคนไม่ชอบจำ ที่บ้านทุกที่จะมีสมุดโน้ตกับปากกาเผื่อคิดออกตอนไหนก็จะจด ที่หัวเตียงก็จะจด เฮียจะจดทุกอย่าง แล้วเช้ามาค่อยเอามาเรียบเรียงรวบรวม อันนี้ทำมาทุกวันตั้งแต่เด็กแล้ว และทุกวันก่อนนอนตอน 3 ทุ่ม ก็จะทำ “To Do List” ว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร จะคุยกับใครบ้าง เฮียจะไม่ชอบจำเรื่องพวกนี้ เราใช้วิธีจด วันรุ่งขึ้นก็มาไล่คุยทีละคนๆ แล้วทำไปทีละข้อ จะได้ไม่มีเรื่องรกหัว เอาสมองไปคิดเรื่องงานดีกว่า

ขอมุมส่วนตัวบ้าง เฮียฮ้อเป็นคุณพ่อแบบไหน

เอาเป็นว่าเป็นพ่อที่ดีละกัน (ยิ้ม) และเป็นสามีที่ดี เฮียไม่เคยตีลูก ไม่เคยบังคับให้ทำอะไร ไม่เคยดูสมุดพกลูก ลูกชายทั้งสองคนไม่เคยเรียนพิเศษ เขา ชอบอะไร อยากทำอะไรก็ปล่อยเขา เฮียจะเลี้ยงลูกแบบให้เขาคิดเองทำเอง เราคอยดูห่างๆ เฮียจะคุยกับลูกเหมือนเพื่อน และคุยเรื่องธุรกิจกับลูกตั้งแต่เด็ก ลูกเฮียก็เรียนดีนะ คนโตได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ทั้งๆที่เรียนไปเล่นไป ส่วนคนเล็กก็เรียนดีใช้ได้ ลูกเฮียจะโลว์โปรไฟล์และชอบทำงานเหมือนพ่อ ทั้งสองคนเข้ามาช่วยทำงานที่อาร์เอสกรุ๊ปแล้ว ออฟฟิศใหม่ของเราก็ปล่อยให้ลูกชายคนโต “เชษฐ” ออกแบบและคุมงานทั้งหมด เขาเป็นตัวหลักเรื่องการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ตอนจะย้ายมาที่ตึกนี้ เขาชอบเรื่องดีไซน์และออกแบบ เป็นคนมีหัวศิลปะและวาดรูปเก่ง “โครงการ 72 COURTYARD” ย่านทองหล่อ ก็เป็นผลงานเขา และเขายังมีธุรกิจส่วนตัวด้าน F&B ส่วนคนเล็ก “โชติ” ช่วยดูด้านดิจิทัลและการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆในอาร์เอส ตอนนี้เริ่มทำธุรกิจ F&B เฮียสนับสนุนให้ลูกทำธุรกิจ ส่วนจะทำอะไรก็แล้วแต่เขาชอบ อยากให้ลูกได้เรียนรู้ ได้เจอปัญหาและแก้ปัญหาเอง เวลาเขามีเรื่องเครียดหรือเจอปัญหาก็มาปรึกษาบ้าง

...

จริงไหมที่ไหนมีปลาให้จับ ที่นั่นต้องมีเฮียฮ้อ?

เราเป็นนักธุรกิจ จะไม่มองว่าเราถนัดอะไร แต่มองว่าโอกาสอยู่ตรงไหนมากกว่า สมมติที่นี่มีปลาเราก็ไปดูก่อน ปลาแบบนี้เราอาจไม่เคยจับ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ถนัด ลองดูว่ามันน่าจับไหม โอกาสมีไหม ก็เหมือนเวลาไปเจอธุรกิจหนึ่งธุรกิจ ถ้าเห็นโอกาสก็เอามาวิเคราะห์ดู ถ้ามันน่าสนใจก็ลองเข้าไปดู มุมเฮียคิดว่าถ้าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสและอยู่ในเทรนด์ และหากเราวิเคราะห์ว่ามีความพร้อมระดับที่น่าจะทำได้ ก็น่ากระโดดเข้าไปทำ เฮียทำไปเรียนรู้ไป อาจจะไม่สำเร็จเสมอไป ทำแล้วถูกบ้างผิดบ้างก็เรียนรู้ไป แต่เราต้องลองก่อนไม่ทิ้งโอกาส เฮียเป็นคนช่างสังเกตและกล้าตัดสินใจ ที่สำคัญคือเฮียเชื่อเทรนด์ใหญ่เสมอ ไม่ว่าทำธุรกิจอะไรก็จะใช้กลยุทธ์คิดเร็วทำเร็วแก้ไขเร็ว หรือหากจำเป็นต้องเลิกก็จะตัดสินใจเลิกเร็ว

...

อะไรคือจุดเปลี่ยนให้กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน

ตอนที่อาร์เอสขายโรงงานซีดีเพลงเมื่อ 20 ปีก่อน นั่นคือจุดเปลี่ยนใหญ่ของชีวิต ตอนนั้นเราโดนดิสรัปแล้ว เราทำเพลงขายซีดีอยู่ดีๆ โดนก๊อบปี้ยังทนไหว แต่วันที่ดิจิทัลและ MP3 เข้ามา เราเริ่มรู้แล้วว่าเทปกับซีดีจะต้องตายแน่นอน เฮียก็มานั่งคิดว่าจะทำยังไงต่อ ถ้าไม่คิดหาทางออกก็เหมือนนั่งรอวันที่ซีดีลดลง ผู้บริโภคเปลี่ยนไปฟังเพลงออนไลน์แทน ช่วงนั้นเฮียตัดสินใจขายโรงงานทิ้งเลย ถือเป็นการตัดสินใจที่ใหญ่มาก เพราะเท่ากับเราทิ้งขุมทรัพย์หรือธุรกิจแกนหลักของเรา วันที่ตัดสินใจทิ้งโรงงานแล้วเดินไปหาดิจิทัล เอาจริงๆยังไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นยังไง เราทำไปสู้ไปเรียนรู้ไป ทำให้ได้ประสบการณ์และมุมมองใหม่ๆ เป็นช่วงเวลา 4-5 ปีที่ทำให้เราเหนื่อยมากและธุรกิจขาดทุนหนัก

พอเปลี่ยนมาจับธุรกิจใหม่ๆ สัญชาตญาณแม่นยำเหมือนทำค่ายเพลงไหม

เฮียคิดว่าทำธุรกิจอะไรๆก็มีหลักคิดคล้ายกันคือ รายได้ ต้นทุน กำไร ขาดทุน และการวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมในแต่ละธุรกิจ รวมถึงการสร้างทีมทำงานที่เก่งและใช่ ส่วนประสบการณ์บริหารค่ายเพลงในอดีต สิ่งที่ได้คือประสบการณ์บริหารคน ยุคนั้นต้องเจอคนและบริหารคนเยอะมาก มีศิลปินผ่านมือเราหลายร้อยคน การปกครองกับกลุ่มคนประเภทนี้ต้องเอาให้อยู่คุมให้ได้ เลยทำให้เฮียกลายเป็นคนเด็ดขาด

...

อะไรคือคำจำกัดความของ “อาร์เอส กรุ๊ป” ยุคใหม่

เราเอาจุดแข็งของทั้งธุรกิจคอมเมิร์ซและเอนเตอร์เทนเมนต์มารวมกัน สร้างเป็นโมเดลธุรกิจใหม่คือ “Entertainmerce” อาร์เอสกรุ๊ปยุคปัจจุบันเป็นองค์กรที่ไม่เคยหยุดนิ่ง การที่ไม่หยุดนิ่งทำให้เราปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เป็นองค์กรที่ไม่แก่ ผู้บริหารรุ่นใหม่ของอาร์เอสจำนวนมากอายุ 30-40 ปีเท่านั้น ในอดีตเราทำธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ 100% กระทั่งเริ่มปรับตัวเมื่อ 8 ปีก่อน เปลี่ยนสู่การทำธุรกิจคอมเมิร์ซเต็มตัว จุดเริ่มต้นมาจากการสังเกตว่าธุรกิจทีวีมันไม่เหมือนเดิม ทีวีมี 20 กว่าช่อง ยังไงก็ขายโฆษณาไม่เต็ม เราต้องเปลี่ยนคนดูเป็นคนซื้อให้ได้ ในเมื่อเราเป็นเจ้าของช่อง 8 เจอคนดูวันหนึ่งเป็นล้านๆคน ทำไมเราไม่เปลี่ยนคนดูให้เป็นลูกค้าเราบ้าง ก็เริ่มเอาสินค้ามาลองขาย พัฒนาและปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆ จนผลิตแบรนด์สินค้าของตัวเอง และสร้างช่องทางของตัวเองชื่อ “อาร์เอส มอลล์” เป็นแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าและบริการของเราในทุกช่องทาง ทั้ง on air, online และ telesales นอกจากจะเน้นสินค้าด้านสุขภาพและความงาม ยังเพิ่มสินค้าหลากหลายตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตแบบใหม่ รวมถึงการทำธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัขและแมว

ถึงวันนี้ให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่คะ

7 เต็ม 10 เมื่อก่อนแค่อยากมีชีวิตที่ดีอยากรวย เวลาขับรถชอบมองตึกสูงๆ และฝันอยากจะสร้างตึกใหญ่ๆเป็นของตัวเอง แต่มันเลยจุดนั้นมาไกลแล้ว ตอนนี้เฮียแค่อยากทำให้อาร์เอสแข็งแรง และมีความยั่งยืน อยากวางโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างบริหาร และทีมทำงานให้แข็งแรงมากๆ เพื่อที่เราจะมานั่งดูภาพใหญ่และกำหนดแนวทาง โดยไม่ต้องลงไปติดตามในเชิงโอเปอเรชั่นแล้ว และอาร์เอสยังเติบโตต่อไปได้

จริงไหมเฮียฮ้อประกาศไว้ชีวิตนี้ไม่มีวันเกษียณ

ปีนี้ 60 แล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแก่ คิดไว้ว่าอีก 3 ปีจะขยับจากซีอีโอขึ้นมานั่งเป็นประธานวางกลยุทธ์ กำหนดวิชั่น และติดตามผล คอยสนับสนุนผู้บริหารรุ่นใหม่ๆที่เราสร้างไว้ให้เขาเก่งและแกร่ง บริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย เฮียเกษียณไม่ได้หรอก!! เพราะการทำงานคือความหมายของชีวิต เราเคยไปพักแค่ 2-3 วัน ตื่นเช้ามากว่าจะหมดวันทำไมมันนานอย่างนี้ จะให้ใช้ชีวิตไปเที่ยวตลอดก็ไม่ไหวมั้ง หรือเกษียณแล้วตีกอล์ฟทุกวันคงไม่ได้ เฮียยังสนุกกับการเห็นความสำเร็จตลอดเวลา.

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ