ซงเฮือง หรือ Perfume river ที่แปลตามภาษาไทยว่า “แม่น้ำหอม” เป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองเว้ (Hue) ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศเวียดนาม

เมืองนี้นอกจากได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่ามากมาย ยามที่ดอกไม้ป่าเหล่านี้ร่วงหล่นลงน้ำ ก็จะส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว จึงได้ชื่อว่า แม่น้ำหอม แล้วยังมีตำนานเล่าขานกันด้วยว่า สาวเวียดนามที่สวยที่สุด ก็คือสาวจากเมืองเว้นี่ละ...ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าจริงทีเดียว เคยไปเยือนเมืองเว้เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สาวเว้สวมใส่ชุดประจำชาติ อ๊าวส่าย หรือ อ๊าวหย่าย ที่เดินเล่นกันมาตามริมแม่น้ำหอมนั้น ยืนยันว่าสวยจนหาที่ติได้ยากจริงๆ

ไม่มีใครรู้ว่า ดอกไม้ป่าที่ร่วงหล่นลงแม่น้ำจนทำให้แม่น้ำหอมนั้น ชื่อดอกอะไร แต่ด้วยเสน่ห์ของทั้งแม่น้ำและดอกไม้ ตลอดสองฟากฝั่งแม่น้ำซงเฮือง จึงไม่มีการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน แต่ปล่อยให้เป็นพื้นที่ของสวนสาธารณะที่มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ลัดเลาะไปตามริมน้ำ บางช่วงมีการสร้างสถาปัตยกรรมเล็กๆเป็นจุดถ่ายรูป หนุ่มสาวและชาวเมืองเว้ชอบที่จะมาดูพระอาทิตย์ตกบริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งบอกเลยว่าโรแมนติกสุดๆ

...

กลับมาเยือนเมืองเว้ อีกครั้ง โดยการเชื้อเชิญของ การท่องเที่ยวเวียดนาม ที่ชวนมาสัมผัสเสน่ห์เมืองเว้ หลังวิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้น และเวียดนามเริ่มเปิดประเทศอีกครั้ง

เว้ วันนี้ ไม่ต่างจาก 20 ปีก่อนมากนัก ยังคงเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สวยงาม เงียบสงบ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส และแน่นอน สาวเว้ ยังคงงดงามไม่เสื่อมคลาย สองฝั่งถนนยังคงร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีอาคารเก่าแก่ขนาดใหญ่สมัยฝรั่งเศส งดงามคลาสสิกเรียงรายไปตามถนน เป็นเสน่ห์สีสันของทั้งประวัติศาสตร์และศิลปะที่ผสานกันได้อย่างลงตัว

เว้เป็นเมืองประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 4,000 ปี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2536 ในอดีต เว้เคยเป็นเมืองหลวงเก่า สมัยราชวงศ์เหงียน ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวียดนาม ซึ่งเมื่อมาถึงเว้ จุดแรกที่ต้องไปชมก็คือ พระราชวังเว้ พระราชวังเก่าของจักรพรรดิในราชวงศ์เหงียน ซึ่งครองอำนาจนาน 146 ปี

พระราชวังเว้ เป็นพระราชวังที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระราชวังต้องห้ามของจีน ในยุคที่ฝรั่งเศสยึดครองเวียดนาม พระราชวังแห่งนี้ถูกเผาได้รับความเสียหายอย่างมาก จนกลายเป็นพระราชวังร้าง ตั้งแต่ช่วงสงครามสิ้นสุดที่ฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากเวียดนาม และสิ้นสุดการยึดครองของญี่ปุ่นในมหาสงครามเอเชียบูรพาเมื่อปี พ.ศ.2488 กระทั่งกษัตริย์บ่าวด๋าย สละราชสมบัติในปี พ.ศ.2491 พระราชวังแห่งนี้จึงได้รับการบูรณะ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในเวลาต่อมา

ห่างจากพระราชวัง เว้ไม่ไกลนัก เป็นที่ตั้งของ สุสานจักรพรรดิไคดิงห์ (Tomb of Khai Dinh) จักรพรรดิองค์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน ตั้งอยู่บนเนินเขาสร้างด้วยคอนกรีตสีดำเข้ม ทางเดินขึ้นสุสานตกแต่งเป็นบันไดมังกร ที่จะพาขึ้นไปยังสุสานชั้นที่หนึ่ง จากนั้นมีบันไดต่อไปยังลานชั้นสองที่เรียงรายด้วยรูปปั้นหิน ช้าง ม้า ข้าราชการทหารและพลเรือนเรียงรายอยู่ ส่วนด้านบนสุดเป็นพระราชวังเทียนดิงห์ ที่ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงามด้วย ทั้งรูปหล่อทองขนาดเท่าองค์จริงขององค์จักรพรรดิ ซึ่งหล่อในฝรั่งเศส รวมถึงภาพวาดมังกรในม่านเมฆ ซึ่งเป็นภาพวาดมังกรขนาดใหญ่บริเวณโถงหน้า

...

ความไม่ธรรมดาของภาพวาดนี้ก็คือ จิตรกรผู้วาดภาพใช้เท้าในการวาด เหตุเพราะองค์จักรพรรดิทรงเป็นที่เกลียดชังของคนเวียดนามในเวลานั้น สุสานแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 11 ปี ตั้งแต่ปี 1920-1931 ในรัชสมัยของจักรพรรดิ์บ่าวด๋าย กษัตริย์องค์ที่ 13 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน

จากสุสานจักรพรรดิไคดิงห์ เราไปต่อกันที่ เจดีย์เทียนมู่ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเมืองเว้

จริงๆแล้ว เว้ หรือ ชื่อเต็มๆว่า ถัวเทียนเว้ เป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก สามารถเดินทางเข้าทางจังหวัดมุกดาหาร ผ่านเมืองสะหวันนะเขตของลาว ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวไทย-ลาว-เวียดนาม ที่น่าสนใจ

การเดินทางไปท่องเที่ยวในเมืองเว้ ต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสมให้ดี เพราะพื้นที่ตอนกลางของเวียดนามนั้น บอกเลยว่าร้อนตลอดทั้งปี โดยรวมมีเพียง 2 ฤดู คือ ฤดูร้อน ช่วงปลายเดือนตุลาคม-เมษายน ส่วนฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม อุณหภูมิสูงสุดวัดในหน้าร้อนเคยสูงถึงเกือบ 40 องศาเซลเซียส และต่ำสุด 20 องศาเซลเซียส ถ้าจะให้ดีแนะนำให้มาในช่วงต้นฤดูฝน อากาศค่อนข้างกำลังดี สามารถล่องเรือในแม่น้ำหอม เพื่อชมทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำที่สวยงาม ร่มรื่น

...

ทุกเมืองล้วนมีเรื่องราว “เว้” เป็นหนึ่งในเมืองที่ผ่านทั้งสมรภูมิรบ การช่วงชิง ในแง่ประวัติศาสตร์ เว้ มีเรื่องราวการผลัดเปลี่ยนขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์หลายพระองค์ในช่วงสั้นๆจนถึงวันสุดท้ายที่ราชวงศ์ล่มสลาย ในด้านศิลปะ เว้ มีศิลปะอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็นการตัดเย็บชุดประจำชาติที่มีต้นกำเนิดมาจากที่นี่ ไปจนถึงภาพเขียนของศิลปินอันวิจิตร

แม้รัฐบาลจะรณรงค์ให้คนไทยเที่ยวเมืองไทยกันให้มากๆ แต่ถ้ามีโอกาสสักครั้งในชีวิต อยากเชิญชวนให้ไปเยือนเมืองเว้...เมืองที่มีเสน่ห์เหมือนสาวญวนที่กำลังอมยิ้มและเชื้อเชิญให้ผู้คนจากทั่วโลกไปสัมผัสความหอมของแม่น้ำซงเฮือง...สักครั้งหนึ่ง...