'คนรวยคือคนโชคดี หรือบ้านเขาคงรวยอยู่แล้วถึงได้ทำอะไรก็สำเร็จ'

หลายคนคงมีความคิดแง่ลบต่อกำลังเหล่านี้อยู่ในใจ แต่หากมาฟังประวัติ เอี๋ยม วีรชัย มั่นสินธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุตสาหกรรมไทยบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPAK หนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่เส้นทางชีวิตผ่านอุปสรรคหลายต่อหลายครั้ง และนำประสบการณ์ที่ผ่านมาพร้อมถ่ายทอดเป็นความรู้แก่คนรุ่นใหม่ “ผมก็แค่สุขใจที่ได้ทำ” เขากล่าวเช่นนี้กับรายการ Thairath Talk และอีกหลายเรื่องราวชีวิตของเอี๋ยม วีรชัย แบบไม่เคยเล่าที่ไหน

แล้วคุณจะมีกำลังใจกับการทำธุรกิจหรือการดำเนินชีวิตอีกครั้ง รับรอง!

Thairath Talk : คุณเอี๋ยมที่บ้านทำธุรกิจอะไร เติบโตมากับครอบครัวที่ร่ำรวยไหมครับ

วีรชัย : โตมากับร้านทำกล่องกระดาษ ไม่ใช่โรงงานนะครับ เป็นร้านตึกแถว 2 ห้องที่ถนนเสือป่า เห็นภาพตัดกล่องกระดาษส่งตามโรงงานหรือร้านเบเกอรี ถือว่าเป็นครอบครัวที่พอกินพออยู่ ไม่ได้ร่ำรวย

Thairath Talk : แม้ครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ตัดสินใจส่งคุณเอี๋ยมไปเรียนที่ปีนัง (ประเทศมาเลเซีย) ทำไมต้องไปเรียนที่ปีนังด้วยครับ ที่บ้านมีมุมมองการไปเรียนต่างประเทศอย่างไร

วีรชัย : ผมเป็นคนแรกที่ได้ไปเรียนต่างประเทศจากพี่น้องทั้งหมด 7 คน ผมเป็นลูกคนที่ 6 ครับ ก็อาจจะเป็นเพราะที่บ้านอยากให้เรียนภาษาจีน และปีนังก็มีโรงเรียนจีน ประกอบกับไทยในช่วงเวลานั้นไม่มีโรงเรียนจีน ผมเรียนอยู่ปีนังทั้งหมด 8 ปี หลังจากนั้นก็ตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น

Thairath Talk : ปีนังอาจจะเป็นก้าวแรกที่ทำให้เราเติบโต ส่วนญี่ปุ่นทำให้เราเปลี่ยนไป

วีรชัย : จริงๆ ที่บ้านไม่ได้คิดจะส่ง ไม่เหมือนตอนไปเรียนที่ปีนังที่เขาส่งเราไป แต่ญี่ปุ่น เราเป็นคนขอไปเรียน เพราะที่บ้านไม่ได้มีกำลังขนาดนั้น ที่บ้านก็เลยกัดฟันส่ง

Thairath Talk : ทำไมต้องเป็นญี่ปุ่น

วีรชัย : คือผมชอบเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ช่วงนั้นอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นถือว่าก้าวหน้ามาก ก็เลยเลือกญี่ปุ่น แต่พอไปถึงจริงๆ ผมไม่ได้เรียนอิเล็กทรอนิกส์ (หัวเราะ) ไปเรียนมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับรถยนต์ ในเมืองโตโยต้า

ผมต้องเรียนที่ญี่ปุ่นเพื่อเรียนภาษาครึ่งปี และเรียนอนุปริญญาอีก 2 ปี รวมเป็น 2 ปีครึ่ง แต่ปรากฏว่าผมเรียนอนุปริญญาได้เพียง 1 ปี ที่บ้านก็ส่งจดหมายมา แจ้งข่าวว่าให้กลับมาไทยได้แล้ว ไม่มีปัญญาส่งเรียนอีกแล้ว

ผมจึงเขียนจดหมายมาหาพี่ชายคนโต เพราะจำได้ว่าเขาซื้อเครื่องทำกล่องจากประเทศญี่ปุ่น ผมเลยถามว่าซื้อเครื่องจากบริษัทไหน เมื่อทราบชื่อบริษัทก็เดินไปหาบริษัทนั้นและขอเขาฝึกงาน โชคดีที่เขาใจดีก็เลยส่งผมไปฝึกงานอยู่ 3 เดือนก่อนจะกลับ

Thairath Talk : กลับมาแล้วกอบกู้กิจการที่บ้านได้ไหมครับ

วีรชัย : ผมขอเปรียบเทียบนะ ตอนอยู่ญี่ปุ่นคุณได้ขับรถโตโยต้า รถเก๋งขับง่าย ก็นึกว่ากลับมาที่บ้านแล้วจะมาขับรถต่อ กลับมาถึงบ้านกลับเจอรถอีแต๋น (หัวเราะ) เครื่องที่โรงงานญี่ปุ่นเดินเครื่องด้วยความเร็วและเรียบลื่น แต่ของโรงงานเรามันโกโรโกโสขนาดนั้น ไปไม่ถูกเลย

Thairath Talk : ไม่ตั้งคำถามกับตัวเองเหรอครับ เราวาดฝันจากนักเรียนญี่ปุ่น ต้องกลับมากลางคันและมาเจอสถานการณ์ที่บ้านแบบนี้

วีรชัย : เวลาไปเรียนเมืองนอก เพื่อนๆ เป็นลูกคนมีเงินทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะญี่ปุ่น กลับมาไทยผมไม่มีแม้รถจะขับด้วยซ้ำ แต่เพื่อนขับรถสปอร์ตกัน ก็น้อยใจนิดนึง แต่ผมก็คิดเองนะว่า ถือว่าเราโชคดีที่เราเจออุปสรรคก่อน เราจะได้เติบโตและเข้มแข็งก่อนพวกเขา เพราะถ้าเราไปเจออุปสรรคแบบนี้ตอนอายุแก่ๆ เรายังไม่รอด คงไม่มีกำลังที่จะสู้ ก็เลยเป็นทัศนคติที่มีกำลังใจที่จะสู้

อันนั้นก็คือวิกฤติเล็กๆ ในชีวิต พอกลับมาเจอวิกฤติของจริงคือที่บ้านมีหนี้อยู่ 8 ล้านบาท และธนาคารกำลังจะฟ้องล้มละลาย ที่บริษัทมียอดขายเดือนละ 8 แสนบาท เท่ากับปีละ 9 ล้านกว่าบาทไม่ถึง 10 ล้านบาท ยังไงก็ไม่มีทางรอด สุดท้ายธนาคารยอมประนอมหนี้ โดยเอาเงินต้น 8 ล้านบาทบวกดอกเบี้ย 5 ล้านบาท รวมเป็น 13 ล้านบาท ก็เริ่มต้นทำธุรกิจและใช้หนี้กันไป แต่ช่วงนั้นถือว่าธุรกิจดี ภายใน 4-5 ปี ก็มียอดขาย 200 ล้านบาท

ตอนนั้นก็เลยมั่นใจมาก ไปกู้เงินธนาคารต่างประเทศมา 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 500 ล้านบาท (ในช่วงเวลานั้นอัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท/เหรียญสหรัฐ) นำมาสร้างโรงงานใหม่ขยายธุรกิจ แต่โรงงานสร้างไม่ทันเสร็จเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทลอยตัว หลังจากนั้นอีก 1 ปี จากหนี้ 500 ล้านบาท บวกกับดอกเบี้ย รวมเป็น 1,800 กว่าล้านบาท เขาเรียกว่าล้มละลาย แม้จะเอาบริษัทมาขายทรัพย์สินทั้งหมดมาขายก็ไม่พอใช้หนี้

Thairath Talk : แล้วเราผ่านวิกฤติเหล่านั้นมาได้อย่างไร

วีรชัย : ผมยังโชคดีที่ธนาคารให้โอกาส เพราะว่าก่อนหน้านั้นผมเป็นคนที่เวลาจ่ายดอกเบี้ยธนาคารจ่ายตรงเวลาทุกครั้ง สมมติว่าถ้าเราต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกวันที่ 1 ของทุกเดือน ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเขียนเช็คสั่งจ่ายวันที่ 5 หรือวันที่ 7 ขอชะลอวันจ่ายไปอีกสัก 1 สัปดาห์ แต่ผมจะบอกลูกน้องเสมอว่าถ้าดอกเบี้ยครบกำหนดทุกวันที่ 30 จ่ายให้ตรงเวลาวันที่ 30 อย่าไปยืดเวลาเขา

เพราะฉะนั้นเวลาช่วงวิกฤติ ธนาคารเขาก็ตรวจสอบประวัติว่าลูกค้ารายนี้ ชำระเงินและดอกเบี้ยตรงเวลาทุกครั้ง ไม่เคยเบี้ยว ไม่เคยเกินเวลาแม้วันหรือสองวัน การเอาเปรียบใคร ผมไม่เคยทำ ธนาคารเขาก็เห็นเจตนา ก็เลยช่วยโดยการให้เวลาฟื้นฟูธุรกิจ ดังนั้นเราก็ค่อยๆ ทำธุรกิจและใช้หนี้ 1,800 กว่าล้าน ใช้เวลาทั้งหมด 10 กว่าปี

เป็น Gateway
นักธุรกิจไทย-จีน

วีรชัย : พอเจอโควิด-19 รอบนี้ผมเลยคิดว่าคนไทยเสียหายกันเยอะมาก และการที่ผมนั่งอยู่ในบริษัทด้วยวัย 66 ปี จริงๆ ก็ควรจะเกษียณอายุได้แล้ว ลูกก็เริ่มเข้ามาช่วยดูแลกิจการได้บ้างแล้ว ก็เลยอยากหาอะไรทำเพื่อคนอื่นบ้างดีไหม ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นในการช่วยเหลือคนอื่นบ้าง เกิดเป็นโครงการเตรียมความพร้อมรับการเปิดตลาดของธุรกิจในปี 2023

Thairath Talk : จุดเด่นของโครงการนี้คืออะไรครับ

วีรชัย : โครงการเตรียมความพร้อมรับการเปิดตลาดของธุรกิจในปี 2023 โดยเฉพาะการเอาสินค้าไทยไปขายที่ประเทศจีนทำอย่างไร เพราะอย่างอื่นผมอาจจะมีความรู้สู้คนอื่นไม่ได้ ผมทำโรงงานกล่องมา ผมคิดว่าประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่มาก และเท่าที่ได้สัมผัสคนไทยรู้เรื่องประเทศจีนน้อยมาก พอผมถามว่าอยากไปขายของที่ประเทศจีน ทุกคนตอบว่าอยาก แต่ทุกคนขาดองค์ความรู้ก็เลยทำโครงการขึ้นมา เพื่อช่วยคนที่อยากเอาสินค้าไปขายที่ประเทศจีน เพราะว่ามีหลายคนหรือนักธุรกิจหลายคนที่ผมเคยเจอ ไปทำธุรกิจกับประเทศจีนแล้วเกิดความเสียหาย เนื่องจากทำไปโดยไม่รู้

Thairath Talk : มีอัตรานักธุรกิจไทยที่ประสบความสำเร็จกับการค้าขายในประเทศจีนกี่เปอร์เซ็นต์ครับ

วีรชัย : น้อยมาก น่าจะต่ำกว่า 1% นะครับที่ประสบความสำเร็จเท่าที่ผมรู้จักนะครับ แต่ก็มีธุรกิจเล็กๆ ที่ประสบความสำเร็จโดยการขายทางช่องทางออนไลน์ในจีน ซึ่งจีนไม่มี Facebook หรือ Instagram ต้องใช้ช่องทางออนไลน์แพลตฟอร์มของจีนทั้งหมด ตอนนี้ที่กำลังนิยมคือ TikTok โดยของจีนชื่อว่า Douyin

การที่จะจดบัญชี Douyin ที่จีน คุณต้องเคยเป็นนักเรียนที่จีน หรือต้องมีพาร์ตเนอร์คนจีนจดทะเบียนบัญชี Douyin แล้วมาร่วมกับคุณไลฟ์ขายของผ่านแพลตฟอร์ม TikTok หรือ Douyin กรณีแบบนี้มีคนทำมาแล้วและประสบความสำเร็จสูงมาก ระยะเวลารวดเร็วและใช้เงินทุนไม่มาก อันนี้เป็นเคล็ดเลยครับ

ความสำเร็จ
ต้องคว้าเอง

วีรชัย : ความนิยมของคนจีนและสินค้าที่น่าจะขายดีที่นั่น ผมมองว่าตั้งแต่หลังโควิด-19 มา คนจีนก็เหมือนกับคนไทยนะ เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นสินค้าประเภทสุขภาพ อาหาร ขนมขบเคี้ยว ผลไม้ และสินค้าวัฒนธรรม อีกทั้งถ้าเป็นสินค้าที่มีประวัติยาวนาน เพราะไม่อย่างนั้นคนจีนจะเลียนแบบสินค้าเราได้ คุณจะออกสินค้ารุ่นใหม่อะไร ใช้เวลาไม่นานเขาเลียนแบบคุณได้ เราก็เลียนแบบเขาได้ ดังนั้นถ้าเป็นสินค้าที่มีเรื่องราวมีประวัติยาวนาน เขาเลียนแบบเราไม่ได้

Thairath Talk : การันตีว่าถ้าเข้าโครงการนี้ จะประสบความสำเร็จ 100%

วีรชัย : ไม่มีใครการันตีใครว่าการทำธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ 100% ทุกคน แต่เราบอกว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จมีอะไรบ้าง ส่วนความสำเร็จคุณต้องเดินเองครับ

Thairath Talk : อะไรคือความแตกต่างระหว่างโครงการนี้กับโครงการอื่นๆ ที่เราเห็นตามหน้าสื่อมากมาย ไหนจะเป็นคอร์สอบรมทำธุรกิจออนไลน์

วีรชัย : โครงการเตรียมความพร้อมรับการเปิดตลาดของธุรกิจในปี 2023 ก็ไม่ใช่โครงการเดียวที่สอนและให้ความรู้ประเภทนี้ แต่ผมทำโครงการนี้ขึ้นมาด้วยใจ ทำโดยไม่ได้หวังอะไร และผู้ที่เข้าอบรมไม่ต้องเสียเงินเข้าอบรมด้วย

Thairath Talk : แล้วคุณเอี๋ยมได้อะไร ในเมื่อโครงการฟรี ไม่ได้เก็บเงินแม้แต่บาทเดียว

วีรชัย : คงได้ความสุขที่ได้ทำ (หัวเราะ) ได้ทำก็มีความสุขแล้วครับ เพราะสมัยก่อนไม่มีใครให้โอกาสกับผมแบบนี้ แม้ผมจะโชคดีที่ได้ไปเรียนเมืองนอก แต่เมื่อกลับมาประเทศไทย กลับไม่มีที่ปรึกษา ถ้าเราจบที่เมืองไทย เรายังกลับไปหาอาจารย์หรือเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ รุ่นน้องได้ปรึกษาปัญหาได้ ผมขาดโอกาสแบบนั้น ผมเลยคิดว่าถ้าคนในสังคมที่ขาดโอกาสแบบนี้ เราสามารถเป็นช่องทาง เป็น Gateway ให้เขาดีไหม ก็เลยคิดถึงคนกลุ่มนี้มากกว่า.