เริ่มแรก ที่ครอบครัวก่อตั้ง นมตรามะลิ แลมีตัวเด่น นมข้นหวาน สูตรดั้งเดิม อยู่คู่ครองใจคนไทยมาจนถึงปีที่ 60 ปัจจุบัน ทายาทหญิงแกร่ง พิมพ์ จารุเศรณี หรือ “หญิง นมมะลิ” ได้พัฒนาและเพิ่มผลิตภัณฑ์อีกมากมาย เช่น ครีมเทียมข้นหวาน ครีมเทียมข้นจืด เนยตราออร์คิด เพื่อรองรับตลาดในไทยและส่งออก CLMV ฟิลิปปินส์ เกาหลี Africa Middleeast โดยทำบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆให้เหมาะกับกลุ่มผู้บริโภค เช่น หลอดบีบขนาดเล็ก ถุง pouch ฝาเกลียว สำหรับ home-use เพื่อพกพาและสะดวกจัดเก็บ กับพัฒนานมข้นหวานสูตรใหม่ๆ มี สูตรปราศจากไขมัน สูตรน้ำตาลน้อยกว่า ให้ลูกค้ากลุ่ม health concern และยังผลิตครีมเทียมข้นหวานแบบกระป๋อง 1 กิโลกรัม เเบบมีฝาครอบ สำหรับ Africa ตลาดใหญ่ของครีมเทียมข้นหวาน ซึ่งนิยมในหมู่ชาวแอฟริกันมาก และตักขายเป็นช้อน กินเพียวๆ เพราะเห็นว่าเป็น source of energy

พอเริ่มก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 ซึ่งลุยธุรกิจมาอย่างอดทน และค่อยหายเหนื่อยจากช่วงสะบัก สะบอมเพราะน้ำท่วมโรงงานปี 2554 อ่วม แล้วมาเจอโควิดเมื่อสองปีก่อนอีก ปีนี้ คุณหญิง–พิมพ์ จึงให้จัดโครงการ Mali Proud to be Thai ฉลองที่ มะลิ ยืนหยัดมาได้

สุดถนอม กรรณสูต ผู้บริหารบริษัท มะลิ กรุ๊ป 1962 และ คุณฟิล์ม–อัญจิฎา กรรณสูต ผู้จัดการพัฒนาธุรกิจ จึงคุยกันว่าต้องสอดส่องมองหาว่า มะลิ ควรจะทำอะไรที่ตอบแทนสังคมซึ่งอยากให้กระจายครอบคลุมหลายๆอย่าง ระหว่างนั้น คุณหนึ่ง–สุดถนอม เห็นข่าวนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ที่กำลังจะเดินทางไปแข่งที่ตุรกี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ไทยได้เข้าถึง วอลเลย์บอล เนชันส์ ลีก 8 ทีมสุดท้าย คุณหนึ่ง ซึ่งชอบกีฬา จึงเกิดไอเดียเดี๊ยวนั้น รีบปรึกษา คุณหญิง ทันทีว่า นมมะลิจะสนับสนุนนักกีฬาไทยดีไหม เพราะตรงกับคอนเซปต์ มะลิ Proud to be Thai ซึ่ง คุณหญิง อนุมัติทันที คุณหนึ่ง จึงรีบโทร.ปรึกษาสื่อมวลชนที่คุ้นเคย ว่าจะทำยังไงให้ทันให้กำลังใจน้องๆวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ก่อนแข่ง 14 ก.ค. เพราะวันนี้คือ 12 แล้ว และ นมมะลิ ก็เพิ่งสรุปโครงการ Mali Proud to be Thai หมาดๆ ยังไม่รู้ไม่ลงตัวว่าจะทำอะไร--สุดท้าย จึงสรุปว่า นักข่าวจะรีบแจ้งสมาคมฯให้ว่า นมมะลิ จะมอบพ็อกเกตมันนี่ ให้ทีม 2 แสนบาท ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ พร้อมผลิตภัณฑ์มะลิอีก 1 แสน วันที่ทีมนักกีฬากลับถึงไทย คุณหนึ่ง จึงเป็นตัวแทนนำกำลังใจจากนมมะลิ ไปมอบที่สุวรรณภูมิ ตอน 4 ทุ่มครึ่ง แต่ยังไม่ดึกเท่าตอนที่ คุณหนึ่ง เกิดไอเดียปุบปับ และโทร.หานักข่าว เกือบเที่ยงคืน.

...

0 0 0 0 0

แม้จะมีคดีใหญ่ๆและสำคัญมากมาย แต่ คุณหน่อง–ทินวัฒน์ พุกกะมาน บอส เบเคอร์ แอนด์ แมคเคนซี่ (ประเทศไทย) ก็ยังเป็นหนุ่มอารมณ์ดี และมีเสน่ห์ต่อผู้พบเห็นเสมอ เพราะมีวิธีสร้างสมดุลชีวิต แบบ Work hard Play Hard (or Harder) และที่หลายคนไม่รู้คือ ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเบเคอร์ฯ คุณหน่อง จะสร้างพลัง โดยไปปลีกวิเวก หาความสงบ ด้วยการไปบวช ซึ่งบวชมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งจะไม่ให้ใครไปเยี่ยมเลย มีแต่คนขับรถที่ไปเช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆวัดคอยให้เรียกใช้บ้าง

ทุกเช้า พระหน่อง จะออกบิณฑบาต ซึ่งต้องเดินไปกลับวันละ 4 กม. ซึ่งเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างลำบากเพราะเป็นถนนลูกรัง มีกรวดหินปะปน พระหน่อง ซึ่งไม่ใส่รองเท้า ตามกฎของเจ้าอาวาส จึงได้ฝึกวิชา “ฝ่าเท้าอรหันต์” เพราะเดินเท้าเปล่าจนหนังเท้าหนาชนิดเหยียบตะปูก็ไม่ทะลุ และอาหารที่ชาวบ้านใส่บาตร ก็ตามฐานะ ไม่มีของชอบที่เคยกิน พระหน่อง จึงได้เข้าคอร์สลดน้ำหนักโดยไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจ สึกทีไร จึงผอมหล่อทุกที ที่ทารุณอีกเรื่องคือความหนาวเย็น เพราะบวชที่วัดบนเขา ทางภาคอีสานและหน้าหนาว ซึ่งอากาศเช้าๆ 10 องศาหรือน้อยกว่านั้น พระหน่อง จึงไม่ต้องสรงน้ำที่เย็น
เชี้ยบ แม้วัดจะอนุโลมติดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ แต่ก็ใช้การไม่ค่อยได้เพราะน้ำเย็นเกินไป

ตอนไปบวชครั้งล่าสุด พระหน่อง มีประสบการณ์ประทับใจ (และเจ็บใจ) กลับมา เพราะกำลังกวาดใบไม้ลานวัด แล้วมีชาวบ้านเข้ามาพนมมือ เรียกให้สะดุ้ง ใจเสียว่า หลวงตา--อุตส่าห์ไปบวชเพื่อ ลดละ โลภ โกรธ หลง แต่ พระหน่อง เกือบห้ามความโกรธไม่ได้ เพราะเพิ่งบวชพรรษาเดียว แต่ดูอาวุโสมาก จนชาวบ้านนึกว่าเป็น หลวงตา ไปเฉยเลย.

โสมชบา