ในวงการเกมมีการพูดถึงการแยกขาดจากกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่ายี่สิบปีของฟีฟ่า (FIFA) และอีเอ (EA) ซึ่งถือเป็นข่าวที่ใหญ่ไม่น้อยสำหรับผู้คนที่ติดตามวงการฟุตบอล และวงการเกม
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่า ในช่วงปลายเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคม เรามักจะได้เห็นเกม FIFA (ตามด้วยเลขปี ค.ศ.) อยู่เสมอ
ในด้านหนึ่งต้องบอกว่า ทั้งอีเอ และ ฟีฟ่า ต่างก็ส่งเสริมกันและกันมาเป็นเวลานาน เวลาคนนึกถึงอีเอ สปอร์ต (EA Sports) ซึ่งเป็นค่ายลูกของอีเอ คนก็มักนึกถึงเกมฟุตบอลที่ดีที่สุด เพราะตัวเกมมีความสมจริง การเคลื่อนไหวที่สวยงาม และสิทธิบัตรต่างๆ ที่มีอยู่เป็นอาวุธครบมือ
ขณะที่ เกมที่มีชื่ออัลฟาเบทภาษาอังกฤษสี่ตัวอย่าง FIFA ถ้าหากไม่ได้มองในมุมขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดด้านฟุตบอล คนก็มักจะถึงเกมฟุตบอลเช่นกัน เพราะเป็นเกมที่มีการเปิดตัวทุกปี
ด้วยความที่เกม FIFA ของอีเอ เป็นเกมที่มีการเปิดตัวทุกปี ทางฝั่งอีเอ มองต่างว่า ในปีที่ไม่มีฟุตบอลโลก การใช้ชื่อเกมที่นำด้วย FIFA ถือเป็นสิ่งที่แทบไม่มีประโยชน์ แต่ถึงกระนั้นแล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้อีเอ ยอมถอยฉากจากการใช้ชื่อเกมนำหน้าด้วยคำว่า FIFA เป็นเพราะว่าเรื่องของลิขสิทธิ์ที่สูงปรี๊ดจากฟีฟ่า เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้อีเอ ไม่พร้อมที่จะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ที่ว่านั้น
สุดท้ายฟีฟ่าและอีเอ เกิดเป็นการหย่าร้าง และยุติความสัมพันธ์นับหลายสิบปีลงไปในที่สุด
เมื่อทั้งฟีฟ่าและอีเอ ตัดสินใจไม่ไปต่อ นั่นจึงทำให้เกม FIFA 23 ซึ่งจะวางจำหน่ายในช่วงระหว่างเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคมปี 2022 เป็นเกมภาคสุดท้ายที่ฟีฟ่าและอีเอจะทำงานร่วมกัน ก่อนที่อีเอ จะหันไปใช้ชื่อใหม่ EA Sports FC ในช่วงกลางปี 2024
...
การแยกทางกันครั้งนี้ แน่นอนว่า ฟีฟ่า ในฐานะองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอล ก็ย่อมต้องเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ชื่อ FIFA เหมือนเดิมต่อไป ส่วนทางด้านอีเอ สปอร์ต ก็จะหันไปใช้ชื่อ EA Sports FC ตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ โดยในส่วนอีเอ สปอร์ต พวกเขาคลายกังวลเกมเมอร์ทุกผู้ทุกนามว่า ลิขสิทธิ์ชื่อสนาม นักเตะ ทีมฟุตบอล ที่ยังอยู่ในมือของอีเอมีอยู่นับสามหมื่นรายการ ซึ่งในสามหมื่นรายการที่ว่านั้นก็มีลิขสิทธิ์ของพรีเมียร์ลีก, บุนเดสลีกา, ลาลีกา, ฟุตบอลสโมสรยุโรปทั้งสามรายการหลัก เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว ในส่วนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ มีแต่เพียงเรื่องของชื่อเกมเท่านั้น
ทางด้านฟีฟ่านำโดยจานนี อินฟานติโน ประธานของฟีฟ่า ออกอาการ “หัวร้อน” เป็นพิเศษ หลังดีลระหว่างฟีฟ่าและอีเอ สิ้นสุดลง โดยท่านประธานฟีฟ่า เลือกใช้คำว่า เกมที่มีคำนำหน้าว่า “FIFA” เป็นเกมฟุตบอลของจริง เป็นเกมที่ดีที่สุด สำหรับเกมเมอร์และแฟนฟุตบอล โดยในส่วนความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่างฟีฟ่า และสตูดิโอเกมที่จะมารับช่วงต่อในการพัฒนา “เกมฟุตบอลที่แท้จริง” ยังไม่ชัดเจนว่าสตูดิโอใดจะมารับงานนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ผลงานของสตูดิโอดังกล่าวต้องถูกนำมาเปรียบเทียบกับผลงานในอดีต (ที่ไม่ว่าจะมีคนชอบหรือไม่ชอบ) และอนาคตของอีเอ สปอร์ต
ในมุมมองของอินฟานติโน เขามั่นใจว่า ตราบใดก็ตามที่เกมฟุตบอลที่มีเกมที่มีชื่อนำหน้าว่า FIFA จะต้องประสบความสำเร็จเป็นที่สุด
แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะเหตุการณ์ระหว่างฟีฟ่าและอีเอ สปอร์ต ดันไปคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งยังมีสงครามการต่อสู้ของเกมผู้จัดการทีมฟุตบอล ระหว่าง Championship Manager (CM) และ Football Manager (FM) นั่นเอง
ก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามเกมผู้จัดการทีมฟุตบอล สปอร์ต อินเตอร์แอคทีฟ (Sports Interactive) บริษัทที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาเกม FM ทำงานร่วมกับไอดอส (Eidos) ในฐานะตัวแทนจำหน่าย
ทั้งสปอร์ต อินเตอร์แอคทีฟ และไอดอส ต่างก็ร่วมด้วยช่วยกันปั้นเกม CM กลายเป็นเกมผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาล ก่อนที่ทั้งสองบริษัทเกิดการฟ้องร้องจนต้องเป็นคู่แข่งในเวลาต่อมา
ข้อสรุปของการฟ้องร้องครั้งนั้น ไอดอสได้ลิขสิทธิ์ชื่อเกม Championship Manager ทางด้าน สปอร์ต อินเตอร์แอคทีฟได้ในส่วนซอร์สโค้ดที่ใช้ในการพัฒนาตัวเกม
ในเวลานั้น ไอดอส ได้เปรียบในแง่ของการที่พวกเขาไม่ต้องสร้างการจดจำใหม่ๆ ให้กับเกมเมอร์ เพราะชื่อของ Championship Manager ติดหูเกมเมอร์และแฟนบอลทั่วโลกไปแล้ว ผิดกับสปอร์ต อินเตอร์แอคทีฟ ที่ต้องสร้างการจดจำใหม่ หรือกล่าวง่ายๆ พวกเขาต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง แม้ว่าจะมีซอร์สโค้ดดั้งเดิมก็ตามที
จนในที่สุดช่วงปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงที่สุกงอม เพราะไอดอส เปิดตัว Championship Manager รูปแบบใหม่ ขณะที่ สปอร์ต อินเตอร์แอคทีฟ เปิดตัวในชื่อ Football Manager เพียงแต่ว่า การต่อสู้ของอดีตผู้ร่วมอุดมการณ์ดูจะจบลงเร็วกว่าที่คาด เพราะ Championship Manager ไม่ประสบความสำเร็จ ตัวเกมมีปัญหาบั๊กเพียบ ซึ่งทำให้เกมเมอร์จำนวนมากแทบไม่อยากจะเล่น
ทางด้าน Football Manager ซึ่งมีรูปแบบการเล่นที่ไม่ต่างจากภาคเก่าก่อนหน้านี้ กลับได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฐานข้อมูลนักฟุตบอลที่มีขนาดที่กว้างและลึก ความสมจริงในการเล่นก็ทำได้เหนือกว่า Championship Manager
สุดท้าย Championship Manager ของไอดอส ก็ค่อยๆ จืดจางและหายไปจากวงการเกม กลายเป็น Football Manager ชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พร้อมกับผูกขาดความเป็นผู้นำตลาดเกมฟุตบอลประเภทผู้จัดการทีมชนิดที่ไม่มีเกมใดสามารถเทียบเคียงจนถึงปัจจุบัน
...
สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ Championship Manager และ Eidos ได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนที่อยู่ในแวดวงเกมให้ความเป็นห่วงฟีฟ่า เนื่องจากว่า สิ่งที่ฟีฟ่ามีในตอนนี้ ก็คือ “ชื่อ” แต่ในด้านของตัวเกมฟีฟ่ากลับไม่มีซอร์สโค้ดใดๆ ในมือ การที่จะไปหาสตูดิโอให้มาพัฒนาเกมสำหรับฟีฟ่า ว่ากันตามตรงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากเลือก “ถูก” สตูดิโอก็ดีไป แต่ถ้าหาก “พลาด” ก็จะกลายเป็นความลำบากของทางฝั่งฟีฟ่าเอง
ผมควรต้องกล่าวเช่นนี้ว่า ตลาดเกมฟุตบอลในสไตล์ที่อีเอ สปอร์ต ทำแล้วประสบความสำเร็จ ถือเป็นแนวเกมที่พัฒนาได้ยากมาก เพราะตลาดเกมประเภทนี้ คู่แข่งอย่าง eFootball ของค่ายโคนามิ (Konami) หรือที่เราเคยรู้จักในชื่อ Winning Eleven ปัจจุบันพวกเขาก็แทบไม่สามารถปักธงเข้าไปอยู่ในใจของเกมเมอร์และแฟนฟุตบอลได้เลยแม้แต่น้อย จนหลายคนนับถอยหลังการออกสู่ตลาดเกมฟุตบอลของโคนามิไปแล้วด้วยซ้ำ
ในช่วงที่ผ่านมา โคนามิ พยายามที่จะต่อสู้กับอีเอ สปอร์ต อย่างต่อเนื่อง ทั้งการรีแบรนด์จาก Pro-Evolution Soccer มาเป็น eFootball ด้วยการนำเสนอในฐานะเกมฟรี (free-to-play game) แต่ก็ยังสู้อะไรไม่ได้
ตรงกันข้าม อีเอ สปอร์ต ที่แม้จะรีแบรนด์ไปเป็น EA Sports FC ก็จริง แต่ลักษณะการเล่นก็จะยังคงเหมือนกับ FIFA 22 ซึ่งเป็นภาคปัจจุบัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เกมเมอร์คุ้นชินกับเกม FIFA 22 อย่างไร ก็เล่น EA Sports FC ได้อย่างนั้น
นอกจากนั้นแล้ว อีเอ สปอร์ต ยังสามารถเพิ่มลูกเล่นที่พวกเขาอยากเพิ่มได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องติดกรอบจากข้อกำหนดของฟีฟ่าอีกด้วย เมื่อถึงตอนนั้นเราก็คงจะได้เห็นว่า เกมฟุตบอลของอีเอ สปอร์ต ในชื่อ EA Sports FC จะมีความน่าสนใจอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไปในอนาคต
...