หัวหน้าทีมซอกแซกโหมโรงไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วว่ามีโอกาสกลับไปเข้าคอร์สเรียนวิชาประวัติศาสตร์กับท่านศาสตรา จารย์ ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม ใช้วิธี “โตแล้วเรียนลัด” เพียง 9 ชั่วโมง เที่ยวครบจบหลักสูตร “กรุงศรีอยุธยาราชธานีไทย” ด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง
สัปดาห์นี้เรามาเข้าเรียนชั่วโมงแรกกันเลยครับ เริ่มต้นที่วัด “กุฎีดาว” ซึ่งเป็นวัดโบราณที่เคยร้าง แต่ปัจจุบันบูรณะแล้ว ตั้งอยู่ที่ ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา อยู่ทางบริเวณตะวันออกก่อนถึงเกาะตัวเมืองอยุธยา
ท่านอาจารย์ ดร.สุเนตรให้เหตุผลว่า ที่ต้องแวะวัดนี้ก่อนก็เพื่อจะเตือนความทรงจำว่า ก่อนกำเนิดกรุงศรีอยุธยานั้น บริเวณนี้มีเมืองเก่าอยู่แล้ว เรียกว่า “อโยธยา” และน่าจะเก่าแก่พอสมควรทีเดียว เพราะวัดวาอารามแถวๆนี้ สร้างขึ้นก่อนก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาหลายๆปีแทบทั้งสิ้น
พระเจ้าอู่ทอง หรือพระเจ้ารามาธิบดีที่ 1 ย้ายมาจากเมืองอู่ทองนั้น ทรงมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ก่อน หลังจากนั้นจึงย้ายตัวเมืองเข้าไปอยู่ในบริเวณเกาะเมืองในปัจจุบัน พร้อมกับตั้งชื่อเมืองเสียใหม่เป็น “อยุธยา” นับแต่บัดนั้น
ตามประวัติวัดกุฎีดาวเป็นวัดเก่าแก่ สร้างในยุคอโยธยา แต่มาบูรณะขึ้นใหม่ในยุคสมัยของพระเจ้าท้ายสระ โดยสมเด็จพระอนุชาธิราชของพระเจ้าท้ายสระ หรือกรมพระราชวังบวร ทรงรับหน้าที่ในการบูรณะวัดนี้ภายหลังจากพระเจ้าท้ายสระได้ทรงบูรณะ วัดมเหยงคณ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกันไปก่อนหน้านั้น
จึงมีการโจษขานกันมาโดยตลอดว่า วัดมเหยงคณ์ เสมือน “วัดพี่” และ “วัดกุฎีดาว” ก็คือวัดน้องนั่นเอง
...
ต่อมาสมเด็จพระอนุชาธิราชก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็น พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นกษัตริย์องค์ที่ 31 แห่งกรุงศรีอยุธยา
แม้วัดกุฎีดาวจะปรักพังไปตามกาลเวลา แต่เมื่อกรมศิลปากรไปบูรณะขึ้นใหม่ก็ยังเหลือเค้าของความงดงามและความยิ่งใหญ่อยู่มาก
ท่านอาจารย์ ดร.สุเนตรมีความประสงค์จะให้พวกเราได้สัมผัสความเจริญของยุค “อโยธยา” ก่อนกรุงศรีอยุธยา ผ่านความยิ่งใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ของวัดนี้...ซึ่งเมื่อเดินดูรอบๆแล้วก็เห็นด้วยกับท่านว่ายิ่งใหญ่จริงๆ
แต่เมื่อกลับมาค้นข้อมูลเพิ่มเติมในกูเกิลกลับพบว่า วัดนี้โด่งดังมากในฐานะวัดที่มี “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ซึ่งเมื่อตอนไปดูก็เห็นอยู่และท่านอาจารย์สุเนตรก็เล่าให้ฟังบ้างแล้วถือเป็นส่วน ประกอบของการมาเยือนที่นี่เท่านั้น...ที่ไหนได้เมื่อเข้าไปดูในกูเกิลกลับพบว่า มีหลายๆข่าวและหลายๆ สารคดีเลยล่ะที่ว่าด้วยเรื่องของ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ โดยกล่าวถึงเจ้านายระดับพระ องค์เจ้าองค์หนึ่งที่ทรงเป็นนักขับรถแข่งมีชื่อเสียงมากในยุโรป ซึ่งต่อมาทรงได้ลายแทงมาว่าในวัด “กุฎีดาว” มีสมบัติโบราณฝังอยู่ถึง 16 แห่ง จึงทรงทำเรื่องขออนุมัติอย่างเป็นทางการไปขุดค้นหา โดยใช้เครื่อง “ไมน์ดีเทคเตอร์” แบบเดียวกับตรวจหาแร่ธาตุของเหมืองแร่ แต่ปรากฏว่าเมื่อขุดไปถึงจุดที่ลายแทงระบุไว้กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
เว็บบางเว็บที่กูเกิลรวบรวมไว้ระบุด้วยว่านอกจากไม่พบสมบัติใดๆแล้ว พระองค์ท่านกลับพบชายร่างสูงใหญ่แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ แต่ไม่มีหัวมายืนสกัดกั้น และเมื่อกลับถึงวังแล้วก็ทรงได้ยินเสียงคล้ายคนขุดดินมาเข้าหูรบกวนตลอดเวลา ทำให้พระองค์ต้องอัญเชิญพระอาจารย์มานั่งดูทางใน และกระทำพิธีปัดเป่า ...ทำให้ทราบว่านักรบโบราณนั้นก็คือ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” นั่นเอง
นอกจากกรณีปู่โสมเฝ้าทรัพย์แล้ว เมื่อปี 2 ปีที่ผ่านมา วัดนี้ก็เคยเป็นข่าวเมื่อรายการเกี่ยวกับ “ผีๆ” รายการหนึ่งมาถ่ายทำเรื่องราวของพระเจดีย์ที่วัดนี้ ระบุว่า พระเจดีย์ของวัดที่พังลงมาเป็นเพราะโดนปืนใหญ่พม่าเมื่อตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 โดยอ้างจาก “ญาณ” ของผู้ดำเนินรายการหรือพิธีกรว่าสามารถคุยกับดวงวิญญาณต่างๆย้อนหลังได้
จนนักประวัติศาสตร์และผู้ทราบเรื่องดีต้องออกมาคัดค้านเป็นการใหญ่ว่า พระเจดีย์พังลงมาเพราะโครงสร้างเองต่างหาก โดยยกเหตุผลและความรู้ต่างๆมาหักล้างหลายต่อหลายข้อนอกจากนี้ก็ยังหักล้างด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ที่พม่าจะระดมยิงวัดนี้ซึ่งอยู่นอกกรุงศรีอยุธยา เพราะในขณะนั้นพม่ามุ่งระดมยิงกรุงศรีอยุธยามากกว่า
รวมทั้งยังหักล้างพิธีกรรายการ “ผีๆ” ดังกล่าวที่อ้างว่า พระเจ้าเอกทัศ ทรงเป็นผู้สร้างวัดนี้...โดยนำหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทุกข้อมายันว่า พระเจ้าเอกทัศไม่เกี่ยวเลย เต้าเรื่องขึ้นมาเองแท้ๆ เป็นข่าวใหญ่ที่นำเสนอในเว็บไซต์ดังๆ ที่บันทึกอยู่ในกูเกิลหลายๆสำนักเลยทีเดียว
หัวหน้าทีมซอกแซกก็ถือโอกาสนำเรื่องราวและข่าวคราวที่เคยฮือฮากว่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยตรงมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ไว้ด้วยเพื่อเป็นข้อมูลประกอบ เผื่อจะมีโอกาสไปเยี่ยมชมหรือทัวร์วัดกุฎีคาวในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
ที่พลาดไม่ได้เลย (เพราะยังไงก็ไม่พลาดอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นทางผ่านเข้าออกวัด) จะมีพระตำหนักโบราณอยู่ตำหนักหนึ่ง เรียกว่า พระตำหนักกำมะเลียน ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นที่ประทับเพื่อทอดพระเนตรการบูรณปฏิสังขรณ์ วัดกุฎีดาว ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ที่กล่าวถึงตอนต้นนั่นเอง
...
เป็นพระตำหนักที่งดงามเช่นกัน สร้างอย่างประยุกต์ โดยจะมีรูปแบบของอยุธยาบวกลพบุรีผสมผสานกับ “เปอร์เซีย” อยู่ด้วย ว่ากันว่าทันสมัยมากในยุคโน้น อีกทั้งยังเป็นอาคาร 2 ชั้นรุ่นแรกๆของอยุธยาอีกด้วย
ครับ! แค่จุดแรกที่ไปเยือนอยุธยาของทีมงานซอกแซกกับท่านอาจารย์ ดร.สุเนตร ก็มีเรื่องน่าสนใจมาฝากถึงขนาดนี้แล้ว โปรดอย่าลืมติดตามสัปดาห์หน้านะครับ...เราจะไปที่วัดพนัญเชิง ซึ่งก็มีอะไรตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว.
“ซูม”