ชื่อชั้นของ “ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์” เป็นที่ซูฮกของคนแวดวงอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยมานาน หลังท่องยุทธจักรอยู่เบื้องหลังการพัฒนาโครงการอสังหาฯหลากหลายระดับกว่า 90 โครงการ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ตลอด 3 ทศวรรษ สร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ “SCOPE” พร้อมดิสรัปต์วงการที่อยู่อาศัยครั้งใหญ่ โดยทุ่มหมดหน้าตักทั้งเรื่องไอเดียสร้างสรรค์, คุณภาพ, ความพิถีพิถัน และความจริงใจ เพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยรูปแบบใหม่เหนือระดับไม่เหมือนใคร
“ประสบการณ์กว่า 30 ปี ในฐานะผู้บริหารโครงการพัฒนาอสังหาฯ หลากหลายระดับกว่า 90 โครงการ รวมทั้งเคยเป็นหุ้นส่วนและที่ปรึกษาบริษัทพัฒนาอสังหาฯแถวหน้าของเมืองไทย เช่น แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเว็ลอปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น, บมจ.เอสซี แอสเสท, บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และ บมจ.พฤกษา ทำให้ผมเข้าใจว่าสิ่งที่จะทำให้ชนะใจลูกค้าได้คือ การทํางานหนัก และใส่ใจรายละเอียด แต่ผมและทีมงานก็ไม่ได้ยึดติดกับสูตรสำเร็จ และมักจะหาอะไรใหม่ๆมานำเสนอให้ตลาดเสมอ เรามุ่งพัฒนาโครงการที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่เป็น “อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เห็นโลกมามาก มีความชอบและรสนิยมที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะกระแสหลักในประเทศ สำหรับผม SCOPE เป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ ที่มากกว่าบริษัทอสังหาฯ เพราะเราคำนึงถึงการใช้ชีวิตและบริการ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกมิติ ไม่ใช่แค่สร้างที่พักให้คนมาอยู่อาศัย แต่เป็นการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยรูปแบบใหม่จริงๆ”...หัวเรือใหญ่แห่งสโคป บอกเล่าถึงความตั้งใจ
...
อะไรคือความท้าทายในการปลุกปั้นแบรนด์ SCOPE
ผมเปิดตัวแบรนด์ “สโคป” เมื่อปี 2562 ตั้งใจให้เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่มาเพื่อดิสรัปต์วงการ โดยฉีกแบบแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบเดิม ที่เคยมีมาทั้งหมด ด้วยการมุ่งเน้นเรื่องการออกแบบและก่อสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพพรีเมียมมาตรฐานระดับโลก จนถึงขณะนี้ “สโคป” มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งผมและทีมงานคนรุ่นใหม่พร้อมเต็มที่ที่จะสร้างสรรค์ผลงานมาสเตอร์พีซให้กับวงการ
แบรนด์ SCOPE สะท้อนตัวตนของคุณยงยุทธอย่างไร
ความเป็นตัวตนของผมที่ใส่เข้าไปใน “สโคป” คือการดูแลผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างดี, ใส่ใจในความต้องการของลูกค้า, เลือกใช้สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบอินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีให้กับลูกค้า
ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือด น้องใหม่อย่าง SCOPE มีไม้เด็ดอะไร
“สโคป” มีความเชื่อว่าสินค้าที่ดีไม่มีทางขายไม่ได้ และสินค้าที่ดีจะอยู่ได้ยาว ผมจึงให้ความสำคัญเสมอกับเรื่องคุณภาพ และความแตกต่างที่เรานำเสนอให้กับตลาด โดยมุ่งมั่นทําเรื่องของคุณภาพให้ดีด้วยความตั้งใจ และจริงใจกับลูกค้า เราใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้ได้มาตรฐานในแบบของ “สโคป” จริงๆ
...
โครงการไหนคือดาวเด่นที่พร้อมเปิดตัวในปี 2565
ปี 2565 เป็นครั้งแรกที่ลูกค้าของเราจะได้รับประสบการณ์แบบ “SCOPE Experience” จากการที่ 2 โครงการคือ “SCOPE Langsuan” และ “SCOPE Promsri” จะเริ่มมีลูกบ้านย้ายเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ไตรมาสสาม ที่น่าตื่นเต้นคือ โครงการ “SCOPE Langsuan” จะมีการเปิดตัว “The Langsuan Clubhouse” ซึ่งเป็น “Private Residential Clubhouse” ที่ดีที่สุด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,500 ตารางเมตร ออกแบบโดย “โทมัส ยูล-ฮันเซน” ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบอาคารระดับเวิลด์คลาสมาแล้วทั่วโลก เฉพาะเฟอร์นิเจอร์อย่างเดียวมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท จะมีครบหมดทั้งโรงภาพยนตร์ส่วนตัวขนาด 25 ที่นั่ง ซึ่งมาพร้อมระบบเสียงสุดยอดที่สุด และยังมี “The Langsuan Lounge” ตั้งใจให้เป็น “Rooftop Terrace” โก้หรูเหนือกว่าโรงแรม 6 ดาว สำหรับอีกโครงการ “SCOPE Promsri” ซึ่งจะแล้วเสร็จใกล้เคียงกัน เป็นคอนโดมิเนียม 8 ชั้น ที่ดีที่สุดในประเทศไทย ทั้งด้านคุณภาพและการออกแบบ ถือเป็นโครงการแรกในเอเชียที่ collaborate กับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกอย่าง “Ligne Roset” ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบและผลิตพิเศษในฝรั่งเศสเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ ส่วนที่จะเปิดตัวในปี 2565 คือโครงการบนถนนสุขุมวิทติดกับสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ มูลค่า 2,500 ล้านบาท มีเพียง 20 ยูนิต ออกแบบภายในและให้คําปรึกษาการออกแบบทั้งหมดโดย “โทมัส ยูล-ฮันเซน” และอีกโครงการย่านสุขุมวิท 23 มูลค่า 2,600 ล้านบาท วางแผนเปิดตัวในปี 2566
...
สถานการณ์โควิดฉุดธุรกิจทั้งโลก SCOPE พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสอย่างไร
เราโดนกระทบเรื่องการก่อสร้างที่ช้าลง แต่เรื่องยอดขายนั้นเราทำได้ดีทีเดียว ผมมองว่าสินค้าที่เน้นเรื่องคุณภาพ และความแตกต่างอย่างโครงการ “SCOPE Langsuan” และ “SCOPE Promsri” แทบไม่ได้รับผลกระทบเรื่องยอดขาย เพราะเป็นสินค้าคุณภาพสูง และผู้ซื้อของ “สโคป” ก็เป็น “real demand” คือซื้อเพื่ออยู่อาศัย ไม่ใช่ซื้อเพื่อเก็งกำไร และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจริงๆ
...
คร่ำหวอดอยู่วงการอสังหาฯ 30 ปี อะไรคือบทเรียนสำคัญที่นำมาปรับใช้ได้ทุกยุค
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือการดูแลทุกคนให้ดี ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน, ลูกค้า, พาร์ตเนอร์ธุรกิจ, ซัพพลายเออร์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะผมเชื่อมั่นมาตลอดการทำธุรกิจว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร สินค้าที่ขายได้เสมอ คือสินค้าที่มีคุณภาพสูง และผลิตด้วยความตั้งใจ ดังนั้นจึงต้องบาลานซ์ทุกอย่างให้ลงตัว เพื่อให้มีแรงขับเคลื่อนที่ดีในการสร้างผลงานคุณภาพ
ช่วยแบ่งปันประสบการณ์บริหารงาน ทั้งในยามเจอโอกาสและต้องฟันฝ่าวิกฤติ
ต้องเตรียมพร้อมเสมอ ไม่ตื่นเต้นกับโอกาสจนติดลม หรือไม่ระวัง ขณะเดียวกันก็ไม่ตื่นตระหนกกับวิกฤติ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีทีมงานที่มีความสามารถ, มีความแข็งแกร่ง และโฟกัสไปที่จุดมุ่งหมายในทิศทางเดียวกัน ทุกอย่างไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้
เป้าหมายมีไว้พุ่งชนสำหรับคุณยงยุทธอยู่ตรงไหน
ผมอยากเห็น “สโคป” เติบโตเป็น “Lifestyle Company” ที่เด็กรุ่นใหม่อยากเข้ามาทำงาน และอยากยกระดับสิ่งที่เป็นจุดแข็งของเราอยู่แล้วให้ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก เช่น การเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าในการอยู่อาศัยและใช้ชีวิต เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม
อนาคตของ SCOPE จะสยายปีกไปในทิศทางใด
“สโคป” จะต้องซื้อที่ดินในทำเลที่ดี หรือร่วมลงทุนกับเจ้าของที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม จึงจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยโครงการในอนาคตยังคงเป็นโครงการในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม ในทําเลที่เป็นที่ปรารถนาของลูกค้า นอกเหนือจากพัฒนาโครงการต่อเนื่อง บริษัทยังจะเปิดตัวธุรกิจที่ดูแลบริหารจัดการด้านฮอสพิทัลลิตี้ ที่มากกว่าการพัฒนาโครงการอสังหาฯเท่านั้น เพื่อตอกย้ำว่าเราเป็นบริษัทไลฟ์สไตล์ ที่ไม่ได้พัฒนาเพียงพื้นที่เพื่อการอยู่อาศัย แต่พัฒนาประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือระดับด้วย.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ