ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ตอกย้ำวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำต้นแบบโลกยุคใหม่ เมื่อ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีตลอดชีพของจีน ออกมาเรียกร้องให้คนรวยและนักธุรกิจช่วยสังคมมากขึ้น เสียสละให้มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งนับวันจะถ่างกว้างขึ้นทุกที โดยชูยุทธศาสตร์ “สร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันทั้งแผ่นดิน” เป็นทางออกเดียวที่จะแก้รวยกระจุกจนกระจาย

กว่า 8 ปีเต็ม ที่รั้งตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน เขาได้รับการยกย่องในฐานะนักปฏิรูปวิสัยทัศน์ไกล และมือปราบคอร์รัปชัน ที่วางยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศได้อย่างล้ำลึก เพื่อนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายการสร้างความฝันของจีน ผลักดันให้เกิดการฟื้นฟูประเทศขนานใหญ่, สร้างความเป็นจีนยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร, ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน, สร้างสังคมที่ดีขึ้น, ขยายแสนยานุภาพของกองทัพให้แข็งแกร่ง และปลุกพลังคนหนุ่มสาวให้ทุ่มเททำงานหนักเพื่อความสำเร็จ โดยต้องไม่ลืมอุดมการณ์สังคมนิยม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประเทศ

...

ถ้าไม่หวังดีกับประเทศชาติจริง คงไม่กล้าประกาศทำสงครามกับความยากจน!! กระทั่งประสบความสำเร็จออกมาบอกชาวโลกเต็มปากว่า วันนี้จีนไม่มีคนจนแล้ว!! โดยประเทศจีนสามารถเอาชนะความยากจนได้เบ็ดเสร็จในปี 2020 เมื่อคนยากจนกลุ่มสุดท้ายของจีนมีรายได้สูงขึ้นเหนือระดับ 4,000 หยวนต่อปี (คิดเป็นเงินไทย 20,174 บาท) อันเป็นเส้นวัดความยากจนของประเทศจีน ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2013 “สี จิ้นผิง” แถลงตัวเลขคนยากจนในจีนว่ามีสูงถึง 98.99 ล้านคน กระจายอยู่ใน 832 มณฑลทั่วประเทศ นับแต่นั้นมาก็ตั้งเป้าว่า ภายในปี 2020 ประชาชนชาวจีนทั้งหมดจะต้องก้าวพ้นจากเส้นความยากจน คนจนจะต้องหมดไปจากประเทศ

หลังออกมากำราบการผูกขาดตลาดของยักษ์ใหญ่ธุรกิจไอที ดับความเหิมเกริมของเหล่ามหาเศรษฐีไฮเทคที่เหลิงอำนาจมากเกินไป พร้อมลงดาบสถาบันกวดวิชาห้ามค้ากำไรเกินควร เพื่อคลายความตึงเครียดจากการแข่งขันทางการศึกษาของเยาวชนจีน ล่าสุด เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกแถลงการณ์ในที่ประชุมทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ เรียกร้องให้คนรวย, กลุ่มคนที่มีรายได้สูง และนักธุรกิจตอบแทนคืนสังคมมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “สร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันทั้งแผ่นดิน” ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของจีน ที่ถูกหยิบยกขึ้นกล่าวถึงในแวดวงการเมืองตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

...

โดยความหมายแท้จริงของการสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ไม่ใช่การแบ่งรายได้ให้เท่าเทียมกันในแบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม ทว่าหมายถึงการสร้างสังคมพอกินพอใช้รอบด้าน ทุกคนมีความมั่งคั่งในระดับปานกลางทั่วถึงกันทั้งประเทศ แทนที่จะรวยกระจุกอยู่ที่คนบางกลุ่มของประเทศ แต่จนกระจายไปทุกหย่อมหญ้า

ยุทธศาสตร์สำคัญดังกล่าวอยู่ในพิมพ์เขียวแผนพัฒนาประเทศ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 14 ระหว่างปี 2021-2025 โดยสนับสนุนให้มณฑลเจ้อเจียง ที่มีเมืองหางโจว หัวหอกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจยุคดิจิทัล เป็นเขตสาธิตในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน เพื่อให้เป็นโรดแม็ปนำไปใช้ทั้งประเทศ งานนี้คนหางโจวแท้ๆอย่าง “แจ็ค หม่า” เจ้าพ่ออาลีบาบา คงต้องออกแรงช่วยเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ให้รัฐบาลเห็นถึงความจริงใจ เผื่อจะได้กลับมาเป็น ลูกรักอีกครั้ง

...

อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของจีน ออกโรงเตือนว่า การสร้างความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน เพื่อให้ประชากรจีนทั้ง 1,400 ล้านคน ได้กินดีอยู่ดีทั่วถึงกัน โดยไม่มีใครถูกทอดทิ้ง อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากจะต้องขึ้นภาษีคนรวยและกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ยังกดดันให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศไม่หยุด และฉุดรั้งการลงทุนต่างๆให้ช้าลง เพราะไม่มั่นใจในกฎระเบียบของจีน สุดท้ายก็อาจดับฝันมังกรยักษ์ที่ต้องการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าคู่แข่งตลอดกาลอย่างสหรัฐอเมริกา

...

อาจเข้าตำรายอมถอย 2 ก้าว เพื่อก้าวกระโดดที่ไกลกว่า!! เพราะในแผนพัฒนาประเทศ ระยะ 5 ปี ยังมุ่งเน้นไปที่การควบคุมระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เข้มงวดขึ้น ตั้งเป้าคุมเข้มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัลของจีน ตลอดจนภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อรากฐานของประเทศ เช่น ความมั่นคงของชาติ, วิทยาศาสตร์, วัฒนธรรม และการศึกษา ในแผน 5 ปียังระบุชัดว่า รัฐบาลจีนจะนำกฎเกณฑ์ใหม่ๆมาใช้กับกิจการผูกขาดในประเทศ และต้องมีการทบทวนกฎเกณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติใหม่หมด

สาเหตุที่ “อาลีบาบา” โดนสั่งปรับ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ “แจ็ค หม่า” หายตัวไปอย่างลึกลับพักใหญ่ ก็เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ตามสไตล์ผู้นำยุคใหม่ ที่ต้องดุดันน่าเกรงขาม และเป็นที่พึ่งได้ของประชาชน ไม่ใช่เอาผลประโยชน์ของคนรวยเป็นที่ตั้ง!!

ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ