คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน ในวันนี้ ขอยกเอาตำนานสัตว์พิสดารแถบเอเชียมาเสนอท่านผู้อ่านสักองค์หนึ่ง เรียกเป็นองค์นะครับ เพราะเป็นเทพเจ้าใหญ่จากศาสนาฮินดู สัตว์วิเศษองค์นี้มาจากอวตารของพระวิษณุ หรือไทยเราคุ้นในนามพระนารายณ์ ในปางมัสยาวตารครับ

เรื่องเริ่มต้นตามตำนานฮินดูที่เชื่อกันว่า โลกเราแบ่งออกเป็นสี่ยุค คือ สัตยยุค เตรตายุค ทวาปรยุค และกลียุค หนึ่งยุคในโลกเท่ากับหนึ่งวันของพระพรหม และหนึ่งวันของพระพรหมเท่ากับหลายแสนปีมนุษย์ หลังจากการสิ้นสุดแต่ละยุค พระพรหมท่านจะบรรทมหลับไป พลังในการสร้างสรรค์ของท่านมาจากพระเวท เมื่อท่านหลับจึงไม่มีการสร้างและจักรวาลก็ค่อยๆมาถึงจุดจบ

(หมายเหตุ : เรื่องชื่อเรียกแต่ละยุคและระยะเวลาสั้นยาวไม่เหมือนกัน เรียกไม่เหมือน และเรียงไม่เหมือนอีกต่างหาก เช่นในบางที่ก็ว่าแต่ละยุคยาวเฉพาะเจาะจง เช่น ยุคแรก กฤดายุค ยาว 1,728,000 ปี ยุคที่ 2 ทวาปรยุค ยาว 1,296,000 ปี ยุคที่ 3 ไตรดายุค ยาว 864,000 ปี และยุคที่สี่ คือยุคที่เราอยู่นี้ ยาว 432,000 ปี แต่ในบางที่อ้างว่าแต่ละยุคยาวเท่ากันคือ 4,320 ล้านปี)

เทพเจ้าใหญ่อีกองค์หนึ่งคือพระนารายณ์ เป็นเทพเจ้าแห่งการพิทักษ์ปกป้องและรักษา เมื่อใดก็ตามที่โลกตกอยู่ในอันตราย หรือเมื่อความชั่วร้ายคุกคามเอาชนะความดี พระนารายณ์ก็อวตารลงมาบนโลก การอวตารของพระองค์มีอยู่หลายครั้ง โดยอวตารแรกคือ มัสยาวตาร (มัสยา คือปลา)

มัสยาวตาร.
มัสยาวตาร.

...

เนื้อเรื่องของมัสยาวตาร เล่ากันว่าในสัตยยุค มีกษัตริย์ชื่อมนู พระองค์เป็นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อองค์เทพวิษณุ จึงบำเพ็ญเพียรด้วยเวลาหลายพันปีเพื่อให้เกิดตบะกล้าแข็ง เวลานั้นมาถึงช่วงที่สัตยยุคกำลังจะสิ้นสุดลง และจะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่กวาดล้างทำลายทุกชีวิตบนโลก เพื่อการเริ่มต้นยุคใหม่ต่อไปอีกครั้ง

แต่ก่อนที่พระพรหมจะตื่นขึ้นมาทำลายล้าง พระองค์ยังคงหลับลึกจากความเหนื่อยหน่ายในการสร้างเมื่อยุคที่แล้ว สัญญาณที่ทำให้รู้ ก็คือเสียงกรนดังของพระองค์นั่นเอง เสียงกรนทำให้อสูรหัยครีพตระหนักว่าพระพรหมหลับสนิท เป็นเวลาเหมาะที่จะขโมยความรู้ทั้งมวลจากพระเวท มันตั้งสมาธิแล้วดูดซับความรู้ทั้งหมดเข้าไว้ จากนั้นก็รีบหนีไปซ่อนในทะเลจุดที่ลึกที่สุด

ทว่าสิ่งที่หัยครีพทำ พระวิษณุเห็นได้จากฌาน หากพระเวทถูกอสูรขโมย ความรู้ทั้งมวลจากพระเวทก็จะส่งผ่านไปยังยุคต่อไปไม่ได้ ในฐานะผู้พิทักษ์ พระองค์ที่จะต้องจัดการให้ความรู้นั้นจะรอดไปสู่ยุคต่อไป แต่ระหว่างที่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี แรงตบะของมนูก็สะกิดให้พระวิษณุมองไปหา และแล้วพระองค์ก็แย้มพระสรวล มองทะลุว่าสามารถแก้ปัญหาได้มากกว่าเพียงการตามพลังพระเวทคืน...

ฝ่ายพระมนู...ในเช้าหนึ่ง พระองค์ไปที่แม่น้ำเพื่อเริ่มต้นสวดถวายเทพประจำวัน อย่างแรกที่พระองค์ทำคือวักน้ำไว้ในฝ่ามือทั้งสอง ชูสูงเหนือศีรษะเพื่อถวายน้ำนั้นแด่พระวิษณุเป็นปฐม ทำเครื่องหมายจุดเริ่มต้นการสวด ขณะกำลังจะสาดน้ำกลับลงแม่น้ำ ก็ได้ยินเสียงเล็กๆเปล่งจากน้ำในมือ

“ข้าแต่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่! โปรดอย่าปล่อยข้ากลับลงแม่น้ำเลย...”

มนูประหลาดใจ เขาลดมือแล้วจ้องมอง ในฝ่ามือที่กอบอุ้มน้ำไว้ มีปลาตัวเล็กๆกำลังว่ายดิ้นรน ส่งสายตาอ้อนวอน

“ได้โปรดอย่าปล่อยข้ากลับลงไป ในน้ำมีปลาตัวใหญ่อยู่มาก และพวกเขาจะกินข้า โปรดเถิด ท่านกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่...”

พระมนูมองดูปลาตัวจิ๋วด้วยความสงสาร ในฐานะกษัตริย์ พระองค์มีหน้าที่ปกป้องทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งขอความช่วยเหลือ พระองค์จึงเทปลาและน้ำลงในเหยือกน้ำคามานดาลามของพระองค์ (คามานดาลาม-คล้ายเหยือกมีหูหิ้วและมีพวยสำหรับรินน้ำ เป็นอุปกรณ์ที่นักพรตถือติดตัว) วันนั้น เมื่อมนูจบการนั่งสมาธิและกลับบ้าน ก็นำปลากลับไปด้วย

แต่...เช้าวันรุ่งขึ้นพระมนูตื่นเพราะเสียงเรียกดังลั่น

ปลาอวตารช่วยลากเรือให้พระมนู.
ปลาอวตารช่วยลากเรือให้พระมนู.

“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย โอ...ข้าแต่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่! เหยือกน้ำของท่านเล็กเหลือเกิน มันบีบรัดตัวข้า หายใจไม่ออกเลย...” มนูรีบไปดู เห็นเข้าก็ประหลาดใจ ปลาน้อยเมื่อวานบัดนี้โตเต็มเหยือกน้ำ พระมนูหยุดความประหลาดใจไว้ก่อน รีบวิ่งเข้าบ้าน ไปหาอ่างที่ใหญ่กว่า เทปลาลงให้มันว่าย ทันทีที่เป็นอิสระ ปลาตัวเริ่มใหญ่ก็พูดเบาๆว่า “ขอบพระทัยเหลือเกินฝ่าบาท”

พระมนูยิ้ม และกำลังจะเดินออกจากบ้านเพื่อเริ่มต้นการสวดตอนเช้า แต่ยังไม่ทันเดินพ้นประตูตำหนัก พระองค์ได้ยินเสียงที่ดังยิ่งกว่าก่อน “โอย โอย พระราชา อ่างใบนี้เล็กเหลือเกิน ขออ่างใหญ่กว่านี้ได้ไหม” มนูหันมาจ้องปลาอย่างแทบไม่เชื่อสายตา มันโตจนล้นอ่าง พระมนูจึงนำอ่างใหญ่ที่สุดที่มีมาอุ้มปลาใส่ลง ปลาออกปากแสดงความขอบคุณ

...

และมันก็เป็นอีกครั้งเมื่อพระองค์ย่างพระบาทยังไม่ทันพ้นบ้าน เหตุการณ์ เดิมก็เกิดซ้ำอีก ปลาส่งเสียงร้องว่าอ่างเล็กไปอีกแล้ว “ข้าขอโทษ แต่อ่างใบนี้ใหญ่ไม่พอสำหรับข้าเลย โอ พระราชาผู้ยิ่งใหญ่” ปลาตัวเดิมขยายใหญ่หนักขึ้น จนใหญ่กว่าอ่างใบใหญ่ที่สุดในบ้าน พระองค์รีบเข้าอุ้มปลาวิ่งไปที่แม่น้ำ ซึ่งพบปลาเมื่อวาน แล้วโยนปลาลงไป ปลาสูดหายใจในน้ำ มันเอ่ยว่า

“ขอบพระทัยพระเจ้าข้าที่ช่วยปกป้องข้า แต่ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่ ข้ากลัวว่าปลาตัวใหญ่จะจับข้ากิน...”

พระมนูสงสัยหนัก แต่พระองค์เป็นราชา ไม่อาจหยุดปกป้องผู้ที่ขอความช่วยเหลือ จึงยั้งอยู่ที่นั่นเพื่อดูแล สิ่งที่ประจักษ์แก่ตาคือ ปลานั้นยังขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ใหญ่คับแม่น้ำ พระมนูต้องพยายามนำปลาจากแม่น้ำหนึ่งไปยังอีกสายที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ปลาก็ไม่หยุดโต ในที่สุดพระองค์ก็ลากปลาไปถึงมหาสมุทร เพียงเพื่อจะพบว่าปลานั้นโตเหยียดเต็มไปถึงอีกด้านหนึ่งของทะเลกว้าง...กลายเป็นปลามหายักษ์

ทันใดนั้น สิ่งที่พระมนูสงสัยกระจ่างในทันที “นารายณ์ พระองค์คือพระนารายณ์เป็นแน่แท้” กษัตริย์คุกเข่าน้อมคำนับ “โอ...เทพเจ้าของข้า”

...

ปลาซึ่งเป็นอวตารแห่งองค์นารายณ์ยิ้ม “ด้วยเหตุที่เจ้าต้องการเห็นข้า ข้าจึงมาที่นี่” พระมนูจ้องมองด้วยน้ำตา พระองค์ได้เห็นเขายาวขนาดใหญ่กำลังเริ่มงอกขึ้นบนหัวปลา

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เมตตาประทานสิ่งเดียวที่ข้าปรารถนา คือได้เห็นพระองค์ด้วยตาตนสักครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ข้าไม่ต้องการอะไรอีกเลย หากแต่พระองค์ปรารถนาให้ข้าได้รับใช้อย่างใดหรือไม่พระเจ้าข้า?”

“มนูจงฟัง ยุคนี้กำลังจะสิ้นสุดในเจ็ดวันข้างหน้า และจะมีน้ำท่วมใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกจะต้องพินาศสิ้น ข้าต้องการให้เจ้าสร้างเรือลำใหญ่ แล้วจงรวบรวมเมล็ดพืชทุกชนิด สัตว์ทุกอย่างทั้งตัวผู้และตัวเมีย พร้อมกับปราชญ์ทั้งเจ็ดและครอบครัวของเขา พาทั้งหมดขึ้นเรือ” มนูรับคำ ปลายังพูดสืบไป “อย่าลืม จงนำวาสุกรี-เทพนาคไปด้วย” มนูรับคำอีกครั้ง

ภารกิจครึ่งหนึ่งเสร็จสมบูรณ์ ปลาใหญ่ว่ายไปที่มหาสมุทรอีกด้านเพื่อทำงานให้จบภารกิจอวตาร

ที่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ปลาอวตารสำรวจจนพบหัยครีพ เมื่ออสูรเห็นปลาใหญ่ก็ตกใจกลัว “ช่างเป็นปลาตัวใหญ่อะไรเช่นนี้”

คิดไม่ทันจบ ปลาก็พุ่งเข้าใส่อสูร การกระแทกของปลาครั้งเดียวเล่นเอาอสูรซวนเซ แต่แม้ยังงงงวย หัยครีพก็ยันตัวขึ้นพยายามต่อสู้ป้องกันปลายักษ์ แต่ในที่สุดอสูรก็พ่ายแพ้ มัสยาสังหารอสูร และแล้วเมื่อเจ้าอสูรสิ้นชีพ พระเวทซึ่งมันดูดซับมา ก็ลอยคืนกลับไปยังพระพรหมผู้ยังคงหลับสนิท

อีกด้านหนึ่งของมหาสมุทร พระมนูสร้างเรือของเขา นำเมล็ดพืชต่างๆ สัตว์ต่างๆ และปราชญ์เจ็ดคนพร้อมครอบครัวมาขึ้นเรือ ไม่ช้าก็มีฝนกระหน่ำหนักไม่ลืมหูลืมตาและตกต่อเนื่องจนล้างทุกสิ่ง แม้วันจะผ่านไป ฝนก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุด ระดับน้ำยังคงเพิ่มขึ้นและในไม่ช้าน้ำก็ท่วมจนมองไม่เห็นแผ่นดิน เรือที่เคยอยู่บนคานบัดนี้ลอยเหนือน้ำ มันโยกไหวสั่นคลอนตามแรงพายุ หวิดจะคว่ำก็หลายครั้ง แต่พระมนูและคนอื่นๆมีความเชื่อมั่นว่าเทพนารายณ์จะปกป้องพวกเขา

...

มัสยาวตารสังหารอสูร.
มัสยาวตารสังหารอสูร.

ในไม่ช้าปลาใหญ่ก็มาตามสัญญา “มนู เจ้าจงผูกเรือเข้ากับเขาของข้าด้วยพญานาควาสุกรี” ปลาร้องสั่งเสียงดังเหนือเสียงคำรามของสายฝน ครั้นเมื่อปลาถูกผูกกับเรือ มัสยาก็ลากเรือล่องทะเล ปลาอวตารคุ้มครองเรือให้ปลอดภัยขณะที่พายุโหมกระหน่ำ ระหว่างการเดินทางอันยาวนานนั่นเอง ปลามัสยาสอนพระเวทให้แก่มนูและปราชญ์อื่นๆ

หลังจากที่พายุสงบลงและทุกอย่างถูกล้างจนสะอาดปลามัสยาก็ลากเรือไปไว้ที่ภูผาหิมพานต์ เพื่อให้ผู้คนดำเนินยุคใหม่ที่นั่น

เรื่องมัสยาวตารจบเพียงนี้ครับ แต่ขอแถมเรื่องอีกสักหน่อยก็แล้วกัน เป็นตำนานแยกตอนที่มัสยาปรากฏกายมาทวงคืนพระเวท ในเวอร์ชันนี้พระเวทไม่ใช่ความรู้แบบสูดซึมดังเล่า แต่อยู่ในรูปเล่มคัมภีร์ที่หัยครีพคว้าเอาไป ครั้นเมื่อปลามัสยาตามล่าหัยครีพจนพบ ความใหญ่โตของปลาอวตารนั้นทำให้อสูรครั่นคร้าม จึงสั่งบริวารให้นำคัมภีร์ไปฝากสังขอสูร (อสูรหอยสังข์) เอาไว้ มันคิดว่าหากเสียทีเทพ คัมภีร์ก็ยังอยู่กับอสูรอยู่ดี

และแล้วสิ่งที่หัยครีพคิดก็ไม่ผิด มันถูกปลาอวตารสังหาร แต่มัสยากลับหาคัมภีร์ไม่เจอ พระองค์เพ่งญาณจนรู้ว่า คัมภีร์อยู่กับสังขอสูรโดยมันกลืนเก็บไว้ในร่าง เมื่อตามพบก็มีการต่อสู้แย่งชิงและจบลงด้วยฝ่ายร้ายถูกสังหาร ปลาอวตารคืนร่างเป็นเทพ ใช้พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในร่างของอสูรตนนั้น ควานหาคัมภีร์จนพบแล้วหยิบออกมา

ด้วยกำลังของเทพ หัตถ์ของพระวิษณุก็ทิ้งรอยเอาไว้ที่เปลือกหอย พระองค์จึงออกโอษฐ์ว่า “ด้วยเหตุที่สังข์เคยกลืนเอาคัมภีร์พระเวทเข้าไป และเราก็ยังประทับรอยหัตถ์ไว้ที่เปลือกสังข์นี้ จากนี้ไปจึงถือได้ว่าสังข์เป็นของมงคลแล้ว หากมนุษย์จะประกอบการมงคลใดๆ จงใช้สังข์เข้าร่วมในพิธีด้วย น้ำที่บรรจุในสังข์และหลั่งรดออกมา หรือเสียงที่มาจากการเป่าสังข์ถือเป็นมงคลยิ่ง สามารถขจัดเสนียดจัญไร ป้องกันภูตผีและอัคคีภัยได้” (หมาย เหตุ : สังข์มงคล ก้นหอยเวียนขวา)

จบจริงๆแล้วครับท่านผู้อ่าน.

โดย : คอสมอส
ทีมงานนิตยสาร ต่วย’ตูน