เปิดโลกการเรียนรู้สร้างวิสัยทัศน์การทำงานที่ยั่งยืน
เมื่อมองว่า “ชีวิตคือการไม่หยุดที่จะเรียนรู้” ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนนี้ ปิยะวัฒน์ สุภาพงศ์ภัค จึงมีความตั้งใจในการทำงาน พร้อมสร้างความรู้ให้แก่ตัวเองและคนทั่วไป ในฐานะผู้จัดการฝ่ายที่ปรึกษาด้านการอบรม สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (Thailand Management Association-TMA) สมาคมวิชาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ศูนย์รวมของบรรดานักบริหาร ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ ตลอดจนนักวิชาการสาขาต่างๆ ซึ่งมีอุดมการณ์ที่จะสร้างเสริมวิชาชีพการจัดการให้เป็นเลิศ ด้วยการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ด้านการจัดการธุรกิจให้มีมาตรฐานทัดเทียมกับต่างประเทศ
อาร์ท-ปิยะวัฒน์ แนะนำตัวเองและงานที่ทำว่า พอจบปริญญาโท Global Business ที่ Sheffield Hallam University ที่ประเทศอังกฤษ ก็ได้มาทำงานเป็นที่ปรึกษาที่ Wilson Learning ก่อนที่จะเข้ามาทำงานที่สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย โดยแรกๆเข้ามาดูในเรื่องของ Content design จากนั้นจึงมารับผิดชอบทำทางด้าน relationship Management ซึ่งสมาคมนี้เป็นสมาคมที่ไม่ได้แสวงหากำไร ตั้งขึ้นเพื่อทำงานส่งเสริมความเป็นเลิศในการเป็นผู้นำ, ส่งเสริมการเรียนรู้ และแชร์ความรู้ สุดท้ายเป็นเรื่องของการสนับสนุนโอกาสในการสร้างเครือข่าย โดยการทำงานมีทั้งจัดอีเวนต์และสัมมนาระดับประเทศ พร้อมทั้งเปิดฝึกอบรมให้แก่บุคคลทั่วไปด้วย
“งานที่ทำ ทำให้ผมเรียนรู้เยอะมาก บางคนเขาจะไม่อินว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษา การเรียนรู้รึเปล่า แล้วมันจะส่งผลอะไรบ้าง สมาคมนี้จริงๆส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งชีวิตคนเราเป็น long life learning ที่สุดท้ายเราเองต้องหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตัวเราเอง สมาคมนี้มีหน้าที่เป็นกระบอกเสียง การส่งเสริมพัฒนาผู้นำให้กับประเทศชาติ ในขณะที่เราส่งเสริมความรู้ให้คนอื่น ตัวผมเมื่อทำงานเราก็ได้รับความรู้ใหม่ๆ ทั้งแนวลึกและแนวกว้างด้วย ได้เจอคนผู้หลักผู้ใหญ่ ทำให้เราได้มีแนวคิดดีๆ หล่อหลอมการทำงานของเรา”
...
เมื่อถามแนวคิดการทำงานในยุคนี้ ผู้บริหารหนุ่มที่มีวิสัยทัศน์คนนี้บอกว่า ก่อนหน้าวิกฤติโควิด ตนมีความคิดแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้ตนก็มีแนวความคิดอีกแบบหนึ่ง คือการจะทำอะไรในตอนนี้เราต้องทำให้เร็วที่สุด และต้องปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์นั้นๆ โดยการทำงานต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อทีมจะได้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆกันและตรงจุด จากนั้นในทุกๆ 3 เดือนเราต้องกลับมาพิจารณากันอีกที เพื่อที่จะปรับให้เข้ากับสถานการณ์ นอกจากนี้ ตนยังให้ความสำคัญกับ “คน” ซึ่งถ้าคนทำงานอย่างมีความสุข ความสำเร็จในงานก็จะเดินตามมา
“สำหรับคนรุ่นใหม่ ผมมองว่า เราต้องหาตัวเองให้เจอว่าเราชอบหรือถนัดอะไร มากไปกว่านั้นต้องคิดให้ไกลว่าไปงานสายอาชีพที่เราทำอยู่นั้นในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้ามันมีแนวโน้มจะโตหรือไม่ ทุกวิกฤติมีโอกาสอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหาเจอไหม แล้วเอามาใช้ไหม ซึ่งวิกฤติโควิดนี้ทำให้เราทุกคนมีเวลากับตัวเองมากขึ้น เราสามารถใช้เวลานี้พัฒนาจุดอ่อนของเราให้พร้อมกับโอกาสที่จะมาถึง และผมมองว่า การหาความรู้ใส่ตัว เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ถูกรดน้ำทุกวัน ความรู้จะพอกพูน แล้วเราจะเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะความรู้นั้นจะติดตัวเราไปตลอด”.