”ป๊าผมเป็นนักสู้ตัวจริง ไม่เคยยอมแพ้ เขาจะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว ผมก็ไม่ยอมแพ้ แต่เพราะผมไม่แข็งแรงเหมือนเขา ผมจึงเลือกทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าแพ้ ถ้าเป็นอะไรที่รู้ว่าเสี่ยง แพ้จะไม่ทำเด็ดขาด”...ก็เพราะมีความบุ๋นความบู๊แตกต่างกันสุดขั้ว จึงกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสองพ่อลูกนักสู้เลือดมังกร “คีรี กาญจนพาสน์” และ “กวิน กาญจนพาสน์” ที่กอดคอเคียงบ่าเคียงไหล่ฝ่าวิกฤติต้มยำกุ้งมาด้วยกันอย่างโชกโชน จนสามารถล้างหนี้สินจาก 8 หมื่นล้านบาท ให้เหลือ 3 พันล้านบาท ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี

หลังบ่มเพาะประสบการณ์จนแกร่งกล้า ตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เจ้าพ่อรถไฟฟ้าบีทีเอสยอมรับ ในที่สุดมังกรน้อยอย่าง “กวิน กาญจนพาสน์” ก็ได้เวลาผงาดเต็มตัว ในฐานะซีอีโอคนใหม่ของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ พร้อมเป็นหัวหอกขับเคลื่อนธุรกิจทุกอย่างในเครือ ตั้งแต่รถไฟฟ้าและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงธุรกิจโฆษณาและมีเดีย, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนธุรกิจในกลุ่มบริการ โดยล่าสุดนายน้อยแห่งบีทีเอสได้สยายปีกไปซื้อเชนโรงแรมใหญ่ของยุโรป “เวียนนา เฮ้าส์” เพื่อต่อยอดความมั่งคั่งขยายฐานธุรกิจในต่างแดน

...

คุณกวินเล็งเห็นโอกาสอะไรดี จึงตัดสินใจรุกคืบไปลงทุนในต่างประเทศ


แห่งแรกที่ไปลงทุนคือที่ลอนดอน เราตัดสินใจซื้อออฟฟิศบลิวดิ้งที่ลอนดอน ทันทีที่อังกฤษประกาศถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป เพราะได้ดีลราคาดีมาก ตอนนั้นอสังหาฯในลอนดอนราคาตกกันหมด จากนั้นเราก็มองหาโอกาสลงทุนอื่นๆ ตอนแรกเล็งไปที่ธุรกิจเนิร์สซิ่งโฮมสำหรับผู้สูงอายุ แต่ศึกษาลงรายละเอียดแล้วทำยาก มีปัจจัยเสี่ยงเยอะ เลยเบนเข็มมาดูธุรกิจโรงแรม ปรากฏว่าไปเจอกับเจ้าของ “เวียนนา เฮ้าส์” ซึ่งเป็นคู่พาร์ตเนอร์ อายุ 70 กว่าปีแล้ว อยากขายธุรกิจทั้งหมด เพราะลูกหลานไม่รับช่วงทำต่อ ผมกับป๊าจึงสนใจบินไปดูของจริง

ได้คุยกับเจ้าของ “เวียนนา เฮ้าส์” ประทับใจตรงไหน ถึงยอมควักกระเป๋าซื้อ

เจ้าของอายุ 70 กว่าปีแล้ว ลูกหลานไม่อยากทำธุรกิจ พวกเขาเลยต้องขายธุรกิจทิ้ง พอเจอกันคุยแล้วคลิกเลย ใช้เวลาเจรจา 1 ปีเต็มๆ เพราะเสียเวลาเรื่องเอกสารและการกู้แบงก์ ทุกอย่างเป็นภาษาเยอรมันหมด ผมกับป๊าถูกใจโรงแรมกรุ๊ปนี้เพราะทีมบริหารของเขาโปรเฟสชั่นแนลมาก มีเซอร์วิสมายด์สูง ก่อนจะตัดสินใจซื้อโรงแรม เราทั้งคู่แอบเข้าไปสำรวจโรงแรมในเครือเวียนนา เฮ้าส์ หลายแห่ง ทำตัวเป็นแขกไปเข้าพักปกติ ทำให้รู้เลยว่าเชนนี้มีจุดเด่นในเรื่องบริการ เหตุผลอีกอย่างที่ชอบเวียนนา เฮ้าส์ เพราะปรัชญาการทำธุรกิจของเขาดีมาก “คุณรูเพิร์ต” เจ้าของเวียนนา เฮ้าส์ เคยเป็นซีโอโอเครือโรงแรมเคมปินสกี้ จึงมีประสบการณ์ด้านการบริหารโรงแรมเป็นอย่างดี นอกจากจะไปลงทุนซื้อกิจการโรงแรมในยุโรปแล้ว ทางผู้บริหารของเวียนนา เฮ้าส์ ยังจะร่วมมือกับเรานำแบรนด์โรงแรมอีสตินและยู โฮเต็ล มาเปิดบริการในยุโรปด้วย ขณะเดียวกัน เราก็จะเอาโรงแรมเวียนนา เฮ้าส์ มาเปิดในเอเชีย

...

คุณกวินเคยทำโรงแรมมาก่อนไหม


จริงๆตอนที่ป๊าเรียกตัวผมกลับจากอังกฤษมาช่วยธุรกิจที่บ้าน เมื่อปี 1997 ผมเริ่มทำงานแรกที่โรงแรมอีสติน มักกะสัน โชคดีที่เจอพาร์ตเนอร์เก่งทำให้ได้เรียนรู้งานเยอะ ทำได้ไม่นานก็ไปสร้างโรงแรมยูที่เชียงใหม่ ขนาด 40 กว่าห้อง โรงแรมทั้งหมดที่เรามีอยู่ในเมืองไทยคือ 4-5 พันห้อง จากจำนวน 12,000 ห้อง โดยที่เหลือรับจ้างบริหารให้ ก็มีประสบการณ์พอสมควร

เสน่ห์ของธุรกิจโรงแรมอยู่ตรงไหน


ปกติผมทำธุรกิจ ผมไม่ได้มองแค่โรงแรมสวย โลเกชั่นดีแล้วจบ ถ้าไปซื้อโรงแรมแบบนั้นยังไงก็ไม่ทำกำไร เราต้องเลือกของรองที่มีดีซ่อนอยู่ แล้วนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น อย่าง “เวียนนา เฮ้าส์” แบรนดิ้งเขาดีมาก เจ้าของมีเซอร์วิส-มายด์มาก เป็นคนติดดิน และเป็นที่รักของพนักงาน ปัจจุบันเวียนนา เฮ้าส์ มีพนักงานในเครือ 2,500 คน แต่พนักงานทุกคนยังมีรอยยิ้มให้ลูกค้าเหมือนกันทุกแห่ง โรงแรมอีสตินของเราก็เหมือนกัน มีเทรนนิ่งที่ดีมีหัวหน้าดี ลูกน้องก็จะออกมาดี ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน

นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว คุณกวินยังดูแลอะไรอีก

...


นอกจากรถไฟฟ้าบีทีเอสแล้ว ผมก็ดูแลธุรกิจทุกอย่างให้ป่าป๊า ดูเหมือนป่าป๊าจะรักบีทีเอสมากที่สุด มันเป็นธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงให้เขา ป๊าผ่านร้อนผ่านหนาวมากับบีทีเอส บีทีเอสเป็นลูกรักของเขาที่ปล่อยมือไม่ได้

เจ้าสัวคีรีถ่ายทอดวิทยายุทธ์อะไรให้ลูกชายคนโตบ้าง


ป่าป๊าคือนักสู้ตัวจริง ไม่เคยยอมแพ้อุปสรรค เขาจะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว สำหรับผมตรงกันข้ามนะครับ ผมก็ไม่ยอมแพ้ แต่เพราะผมไม่แข็งแรงเหมือนเขา ผมจะพยายามเลือกสิ่งที่ผมไม่คิดว่าแพ้ ถ้าเป็นอะไรที่รู้ว่าเสี่ยง ผมจะไม่ทำ เช่น ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว ถ้าให้ผมตัดสินใจว่าจะทำบีทีเอสไหม ผมไม่มีทางทำบีทีเอส แต่ป๊าผมเชื่อมั่นว่าเมื่อไหร่ทำอะไรที่ดีต่อประเทศ เช่น การทำรถไฟฟ้าบีทีเอส เราย่อมจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ตรงนี้ผมเรียนรู้จากเขาว่าเวลาทำอะไรอาจจะไม่ได้รีเทิร์นเต็มร้อย แต่ทำแล้วมีประโยชน์ต่อสังคมต่อประเทศชาติ เราก็ควรทำ ไม่ใช่คิดถึงแต่ผลกำไร ผมได้เลือดนักธุรกิจมาจากป่าป๊า เขาไม่เคยสอน แต่มันอยู่ในสายเลือด

ถามจริงๆนะคะ เกิดมาเป็นลูกเจ้าสัวคีรี หนักใจไหม

...


ผมชอบมาก ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้เลย (หัวเราะ) ตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 9 ขวบ ผมก็รู้แล้วว่าพอโตขึ้นเราต้องทำงานแบบป๊าแบบอากง ต้องตื่น 6 โมงเช้า เพื่อมาประชุม และกลับบ้านอีกทีตอน 5 ทุ่ม ผมเลยตั้งใจว่าตราบใดที่ยังเป็นเด็ก เราจะต้องเที่ยวต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ผมเป็นเด็กเกเรนิดหน่อย ชอบเอาเวลาเรียนไปเที่ยว เพราะรู้ว่าโตขึ้นไม่มีเวลาไปเที่ยวแล้ว ผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่อายุ 12 ปี เคยขับรถจากลอนดอนไปแมนเชสเตอร์ 4-5 ชั่วโมง เพื่อซื้อมอเตอร์ไซค์ 150 ปอนด์ เอากลับมาที่ลอนดอน ขี่ได้ไม่กี่วันชนเลย ชีวิตวัยรุ่นก็มันส์แบบนี้ แต่พอมาทำงานกับป๊าไม่มีเวลาเที่ยวเลย

จากเด็กชอบเที่ยว ต้องมาช่วยเจ้าสัวคีรีกอบกู้วิกฤติ ตอนนั้นต้องปรับตัวขนานใหญ่แค่ไหน


โดยนิสัยส่วนตัวผมเป็นคนไม่ค่อยเครียดง่าย อย่างตอนปี 1997 ป๊าเครียดมาก เพราะเป็นช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ธุรกิจแทบล้มทั้งยืน แต่ผมกลับไม่เครียดเท่าไหร่ เพราะคิดเสมอว่าทุกอย่างจะมีทางออก เวลาพนักงานทำไม่ดีผมก็ไม่โมโห ธุรกิจขาดทุนผมก็ไม่โมโห แต่จะพยายามหาวิธีแก้ไข เราใช้เวลาฟื้นฟูธุรกิจมาเกือบ 10 ปี กว่าจะกลับมายืนได้

คุณกวินทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าสัวคีรีใกล้ชิดขนาดไหน


ตั้งแต่ปี 1997 เราทำงานเคียงข้างกันเหมือนพี่น้อง ไปเจอแบงก์ก็ไปด้วยกัน ไปเจอเจ้าหนี้ก็ไปด้วยกัน ไปเจรจาธุรกิจก็ไปด้วยกัน ไปดูรถไฟฟ้าก็ไปด้วยกัน ตีสองก็ยังทำงานด้วยกัน เอาป้ายโฆษณาขึ้นผมยังไปคุมด้วยตัวเอง ผมเป็นคนละเอียดยิบ ไม่ว่าไปลงทุนที่ไหน จะขอดูรายละเอียดข้างหลังพวกโครงสร้างพื้นฐาน

ได้มีเวลาพักผ่อนบ้างไหม


จริงๆ 3-4 ปีนี้ ผมแทบไม่มีเวลาว่างเลย สมัยก่อนแบ่งไว้ชัดเจนว่า เสาร์อาทิตย์จะต้องอยู่กับลูกและครอบครัว แต่ตอนนี้ลูกโตแล้ว งานก็เยอะขึ้น เลยต้องทำงานเสาร์อาทิตย์ จะพาลูกไปตรวจโรงแรมตรวจสนามกอล์ฟว่าสะอาดไหม แล้วคอยสอนว่าต้องรู้จักสังเกตอะไรบ้าง ลูกค้ายิ้มไหม ถ้ายิ้มแปลว่าลูกค้าแฮปปี้ ก็ค่อยๆให้ลูกซึมซับ

ธุรกิจในเครือทั้งหมดชอบอะไรที่สุด


ผมเป็นคนชอบกินชอบสรรหาของอร่อย เพราะฉะนั้นก็จะชอบธุรกิจร้านอาหารที่สุด ผมเป็นคนชวนเชฟแมนมาเปิดเรสเตอรองต์ที่เมืองไทย อีกอย่างที่ชอบคือการลงทุนซื้อขายหุ้น ไม่มีอะไรที่ผมชอบมากๆถึงขั้นเอาไปฝัน บางทีทำงานหนักจนลืมทุกอย่างไปเลย ผมไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่มีฮอบบี้ ไม่ชอบช็อปปิ้ง นาฬิกาก็ไม่ใส่ จะใช้เงินเยอะหน่อยคือพาครอบครัวเที่ยวต่างประเทศ ถ้าถามว่าชอบอะไรก็ชอบเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย ผมอายุ 42 เอง ก็ยังไม่มีอะไรที่ชอบฝังใจ หวังไว้แค่ว่าอยากให้ธุรกิจที่มีอยู่ในมือเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น บริษัทบีทีเอสยังมีความเป็นแฟมิลี่บิสเนส ทุกอย่างคุณคีรีและผมเป็นคนตัดสินใจ ผมเชื่อว่าทุกอย่างที่เราทำมาไม่มีใครกล้าพูดว่าเราทำไม่ดี

เจ้าสัวคีรีให้กำลังใจบ้างไหม


ป๊าอาจจะแฮปปี้ในใจ แต่ไม่เคยพูดชม ธุรกิจทุกอย่างของเรา ป๊าจะเป็นคนคิด แล้วให้ผมไปสานต่อทำจนสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง ผมกับป๊าเป็นเพื่อนคู่คิดกันในเรื่องงาน ในวันนี้ไม่มีงานที่คุณคีรีตัดสินใจทำ แล้วผมไม่รู้ ถ้าเวลาเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องหาข้อมูลมายันกัน

ให้รางวัลชีวิตตัวเองยังไง


ยังไม่ถึงเวลาให้รางวัลตัวเอง สักวันหนึ่งถ้าปลุกปั้นธุรกิจในกลุ่มอสังหาฯและโรงแรมเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ผมคงแฮปปี้ ผมชอบความท้าทาย เมื่อทำได้ถึงเป้าหมายจะรู้สึกแฮปปี้ เสร็จแล้วก็จะมองหาความท้าทายใหม่ๆต่อไป เวลาผมตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ถ้ามั่นใจแค่ 95% ผมก็ไม่ทำ ต้องมั่นใจเต็ม 100% ถึงจะทำ อาจจะเพราะเคยผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้ว ทำให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ

ตั้งเป้าหมายชีวิตว่าจะทำงานถึงเมื่อไหร่

พูดตรงๆว่าผมอยากรีไทร์พรุ่งนี้เลย (หัวเราะ) คุณคีรียังหนุ่มอยู่ให้ทำงานไป ผมเกิดมามีป๊าและอากงรวยขนาดนี้จะมาทำงานทำไม ผมไม่อยากทำงานตั้งแต่วันแรกแล้ว สู้อยู่เฉยๆขับเฟอร์รารี่ดีกว่า แต่มันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะผมโตมาแบบไม่สปอย รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่ ทุกวันนี้ผมสนุกกับความสำเร็จของตัวเองไปเรื่อยๆ และมองหาความท้าทายใหม่ๆให้ชีวิตไม่หยุดนิ่ง.

ทีมข่าวหน้าสตรี