มีลูกค้าสุภาพสตรีท่านหนึ่งมาปรึกษากับครูเคทว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องความคิดวนไปวนมาเรื่องแฟนเก่า ไม่สามารถขจัดเอาความคิดนั้นออกไปได้ ทั้งๆ ที่ปัจจุบันมีแฟนที่อยู่ด้วยกันและรักกันมาเป็นสิบปีแล้ว เธอบอกว่าเรื่องที่คิดเกี่ยวกับแฟนเก่าก็คือทำไมเขาถึงนอกใจและทิ้งเธอไป ฉากและเหตุการณ์เก่าๆ มันจะวนเวียนกลับมาทำให้เธอต้องคิดถึงเรื่องนี้เป็นประจำ บางครั้งเธอบอกว่า เธอพยายามคิดจินตนาการให้เหตุการณ์ในอดีตนั้นจบลงด้วยสิ่งดีๆ มีความสุข แต่ไม่ทันรู้ตัวเธอก็กลับมาคิดวกวนเรื่องเก่าๆ ที่ถูกแฟนเก่าทิ้งทุกที เธอยืนยันว่าเธอไม่ได้รู้สึกรักใคร่อะไรแฟนเก่าแล้ว ให้เขากลับมาเธอก็ไม่ต้องการ เพราะเธอมีความสุขกับแฟนปัจจุบันดี เธอเพียงต้องการขจัดความคิดวกวนเกี่ยวกับการถูกแฟนเก่าทิ้งเท่านั้น
ความจริงในช่วงที่เลิกกับแฟนเก่า เธอรู้สึกเสียใจและเศร้าไม่มีอารมณ์อยากออกไปเจอผู้คน จนเธอต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อรักษาอาการซึมเศร้า เมื่อได้พูดคุยกันหลายครั้ง เธอค่อยๆ เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในอดีต และพบว่าเธอเคยมีแฟนคนแรกที่รักกันมาก และเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป พอมามีแฟนคนที่สอง เธอมักจะกังวลมากหากเขากลับบ้านผิดเวลา ใจเธอเริ่มคิดกังวลไปต่างๆ นานาว่าเขาจะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหรือเปล่า หรือหากโทรไปแล้วแฟนไม่รับสายก็จะคิดวนเวียนว่าจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเขาหรือไม่ มาในช่วงหลัง แค่ได้ยินใครพูดว่ามีคนสำคัญในครอบครัวของเขาเสียชีวิตไป เธอก็เริ่มกังวลว่าแล้วพ่อแม่ของเธอจะเป็นอะไรหรือเปล่า ปัจจุบัน ทั้งพ่อและแม่ของเธอได้เสียชีวิตไปตามอายุขัยปกติ เธอกลับมีอาการคิดวกวนกลัวคนสำคัญของเธอตายไป หรือทิ้งเธอไป อยู่ตลอดเวลา
ในที่สุดเราก็พบแพตเทิร์นของความคิดวกวนของเธอว่าจริงๆ แล้วเกิดจากความกลัวการถูกทิ้ง เพราะในกรณีแฟนเก่าของเธอ เธอก็ยืนยันว่าไม่ได้รักหรือสนใจเขาแล้ว แต่เธอกลับคิดวนเวียนถึงฉากเหตุการณ์ที่เขาบอกเลิกเธอ คือทิ้งเธอไปนั่นเอง ส่วนความคิดวิตกกังวลว่าบุคคลสำคัญของเธอจะเสียชีวิต ก็เช่นกัน เนื่องจากเธอกลัวการพลัดพรากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว จากนั้น เธอก็ค่อยๆ นึกออกว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก ที่เธอทำการบ้านไม่เรียบร้อย คุณแม่ก็เลยดุ พอเธอเถียงแม่ก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะพอกลับมาเห็นเหตุการณ์พอดี และไม่รู้ว่าพ่อไปโมโหอะไรมาจากไหน พอเห็นลูกสาวเถียงแม่ ก็ดุด่าว่าเธอและตีเธออย่างรุนแรง ทำให้เธอร้องไห้ไม่หยุด จากนั้น คุณพ่อโมโหมาก ลากเธอขึ้นรถขับไปที่ไกลๆ ผู้คนและมืดสนิท แล้วสั่งให้เธอลงไปจากรถหากยังไม่หยุดร้องไห้ เธอบอกว่าเธอกลัวพ่อและกลัวการถูกทิ้งไว้คนเดียวในที่มืดเปลี่ยวมาก เธอเกาะเก้าอี้ในรถยนต์ไว้แน่นไม่ยอมลงไปจากรถ ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าไร จนคุณพ่อหายโมโหและเข้ามากอดเธอและพาเธอกลับบ้าน
...
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่เธออายุแค่ชั้นอนุบาล หลังจากเหตุการณ์นั้น เธอบอกว่าเธอก็ไม่ได้กลัวการถูกทิ้งหรือกลัวการพลัดพรากอะไร ความกลัวถูกทิ้งมาเริ่มเกิดขึ้นตอนที่แฟนคนแรกของเธอเสียชีวิตไป และแฟนคนที่สองทิ้งเธอไป จากนั้น ความคิดวนเวียนกลัวคนนู้นคนนี้ตายก็เริ่มเป็นมากขึ้นๆ
หากจะอธิบายความเชื่อมโยงเหตุการณ์ในวัยเด็กกับอาการในปัจจุบัน ก็อาจเป็นไปได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็กนั้น มันน่ากลัวมากในความรู้สึกของเด็กตัวน้อยๆ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ถูกคุณพ่อทิ้งจริงๆ แต่การระเบิดอารมณ์ของคุณพ่อ บวกกับบรรยากาศรอบข้างที่น่ากลัว ทำให้จิตใจของเด็กน้อยได้ฝังความกลัวการถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวลงไปในระดับจิตใต้สำนึก จนกระทั่งมีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่อาจดูเรื่องราวไม่เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นในตอนโต เช่น การที่คนรักเสียชีวิตไป ซึ่งในความเป็นผู้ใหญ่ก็ย่อมมีสติปัญญาเข้าใจการเกิดแก่เจ็บตายได้ แต่จิตใต้สำนึกของคนเราบางทีไม่ได้เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ เหมือนจิตสำนึกซึ่งมีเหตุผล เหตุการณ์ใหม่นี้จึงได้เข้าไปสะกิดความกลัวถูกทอดทิ้งที่อยู่ที่จิตใต้สำนึกก็เป็นได้ และอยากฝากเรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย หากกำลังโมโหหงุดหงิดอะไร อย่าเพิ่งไปยุ่งวุ่นวายกับลูก เพราะพ่อแม่อาจจะเผลอกระแทกอารมณ์รุนแรงใส่ลูก และอารมณ์นั้นอาจกลายเป็นความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจของลูกโดยไม่รู้ตัว
วิธีการแก้ไข เราคงไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรในอดีตได้ ดังนั้น การคิดวนเวียนของเธอที่พยายามจินตนาการแก้ไขเหตุการณ์ที่ถูกแฟนเก่าทิ้งจากร้ายกลายเป็นดี จึงไม่ได้ผล และทำให้เธอคิดวกวนมากขึ้น หากคุณผู้อ่านมีปัญหาคิดวกวนหรือย้ำคิดย้ำทำ แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ก่อน จากนั้น ค่อยตั้งสติยอมรับความเปลี่ยนแปลงโดยการอยู่กับปัจจุบันและมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า ยอมรับว่าเราไม่สามารถ rewind เทปชีวิตของเรากลับไปแก้ไขอดีตได้ fast forward ไปดูอนาคตก็ไม่ได้ ต้องอยู่กับ play ในปัจจุบันเท่านั้น หากใครรู้สึกยากที่จะหยุดความคิด ซึ่งบางคนหยุดไม่ได้จนถึงกับต้องเอามือโขกหัวตัวเองหรือเอาหัวโขกกำแพงเพื่อให้หยุดคิด ไม่ต้องทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นค่ะ แค่ลองฝึกสมาธิให้รู้ตัวให้เร็ว พอรู้ตัวว่ากำลังคิดวนเวียน อยากจะหยุดความคิดง่ายๆ ก็คือหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ แรงๆ สักครั้งสองครั้ง จะพบว่าความคิดวนเวียนหายไปได้ชั่วคราวแล้ว จากนั้น ให้ลุกขึ้นหาอะไรทำที่มีอิมแพ็คแรงๆ หน่อย เช่น ออกกำลังกาย ชกลม ร้องเพลงดังๆ ท่องคำกลอน บทสวดมนต์ หรือหาคนคุยด้วย และให้ตั้งใจอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายหรืออยู่กับเสียงที่เปล่งออกมา ความคิดวกวนก็จะค่อยๆ หายไปโดยไม่รู้ตัวค่ะ แต่ถ้าหากยังไม่หายและความคิดวนเวียนนั้นรบกวนการทำงานหรือการดำเนินชีวิตปกติ ให้ปรึกษาแพทย์ค่ะ
ใครมีปัญหา ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือเข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels : Kate Inspirer ได้นะคะ
...