ความเจ็บป่วยทางด้าน “สุขภาพจิต” ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ยังส่งผลถึงคนรอบข้างอีกด้วย ไม่ต่างจากปัญหาสุขภาพกาย ซึ่งในปัจจุบันผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นใกล้ตัวยิ่งขึ้น
จากสถิติขององค์การอนามัยโลกมีข้อมูลว่าปัญหาสุขภาพจิตทั่วโลกสูงขึ้น โดยอาจจะมาจาก 3 ปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่
- สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
- ภาวะตึงเครียดในการดำเนินชีวิตที่มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไป
- ความเป็นอยู่ในด้าน การกินและการอยู่อาศัย ที่ส่งผลกระทบทำให้เกิดการเจ็บป่วย
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย ข้อมูลล่าสุดจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในระบบสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า จากการเก็บสถิติเมื่อปี 2563-2565 พบว่ามีผู้ป่วยสะสมจำนวนถึง 1.1 ล้านราย และมีแนวโน้มจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยมีการรับรู้ และให้ความสำคัญกับเรื่องของการเจ็บป่วยทางจิตใจมากขึ้น ทำให้เข้ามารับการรักษามากขึ้น ความยอมรับในด้านความเจ็บป่วยทางจิตในสังคมไทยดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ประกอบกับ ประเทศไทยมีการจัดระบบบริการที่ดีขึ้น ทำให้มีผู้ป่วยเข้ามารักษาในระบบมากขึ้น
...
หลายคนอาจจะกังวลว่าตนเองจะปฏิบัติตนอย่างไรกับผู้ป่วยดี กลัวว่าจะพูดอะไรไม่ถูก กลัวจะทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลง ดังนั้นจึงอยากชวนให้ทุกคนได้เรียนรู้วิธีที่จะช่วยให้อยู่ร่วมกันกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ดีขึ้น
ทำความเข้าใจโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าก็เหมือนโรคอื่นๆ ที่ไม่ได้มีใครอยากเป็น ไม่ได้เกิดจากการแกล้งทำ หรือคิดไปเอง แต่เป็นโรคที่เกิดจากการทำงานของสมอง ที่ส่งผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ พฤติกรรม
พูดคุยกับผู้ป่วยด้วยความเข้าใจ
พูดคุยกับผู้ป่วยซึมเศร้าอย่างสม่ำเสมอ แสดงความห่วงใย รับฟังอย่างตั้งใจ และหลีกเลี่ยงการตัดสินหรือตำหนิ ไม่จำเป็นต้องถามถึงสาเหตุว่าทำไมถึงป่วย
แนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา
แนะนำผู้ป่วยไปพบจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือพาไปด้วยกัน หากผู้ป่วยต้องการ แนะนำให้ทำตามที่แพทย์แนะนำเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ตั้งขอบเขต การช่วยเหลือเท่าที่เราทำได้
ตั้งขอบเขตที่ให้ชัดเจน บอกผู้ป่วยว่าคุณสามารถช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง และอะไรที่คุณไม่สามารถช่วยได้ เพื่อไม่เป็นการสร้างความหวังกับผู้ป่วย หรือสร้างภาระให้กับตนเอง
การรักษาโรคซึมเศร้าต้องใช้เวลา
อดทนกับผู้ป่วยซึมเศร้าและอดทนกับตัวเอง อาจมีวันที่ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น และอาจมีวันที่ผู้ป่วยรู้สึกแย่ลง สิ่งสำคัญคือต้องอยู่เคียงข้างพวกเขาและให้กำลังใจพวกเขาเสมอ
กิจกรรมช่วยหลั่งสารความสุข
ชวนผู้ป่วยให้ลุกมาทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเล่นกีฬาเบาๆ เล่นเกม ทำงานศิลปะ นอกจากจะลดโอกาสที่จะคิดฟุ้งซ่าน และคิดหดหู่แล้ว การเคลื่อนไหวร่างกายยังช่วยหลั่งสารความสุขอย่างเอ็นโดรฟินออกมา
...
เป็นผู้รับฟังด้วยความตั้งใจ
ฟังด้วยความตั้งใจ และท่าทีที่สบายๆ ไม่คะยั้นคะยอ และไม่ตัดสินใจแทน เพราะผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มที่จะมีความคิดว่าตัวเองเป็นภาระให้คนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้น การจะให้ผู้ป่วยพูดคุยระบายความรู้สึก ต้องให้พวกเขารู้สึกก่อนว่ามีคนอยากรับฟัง และไม่กดดัน หรือตัดสินเขา สร้างความไว้วางใจ และบรรยากาศสบายๆ ให้ผู้ป่วยได้เล่าสิ่งที่อยากพูดออกมาเต็มที่
สิ่งที่ไม่ควรทำแก่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
- อย่ากดดันและเร่งรัด ถ้าผู้ป่วยยังอาการไม่ดีขึ้น ห้ามพูดหรือทำให้พวกเขารู้สึกว่า "เมื่อไหร่จะหาย" หรือ "หายได้แล้ว" เพราะผู้ป่วยจะยิ่งรู้สึกกดดัน และผิดหวัง หากอาการเพิ่งเริ่มดีขึ้น ความเครียดเหล่านี้จะยิ่งส่งผลให้จิตใจแย่ลง และอาจเป็นหนักกว่าเดิม
- ไม่ต้องแนะนำผู้ป่วยให้ไปเข้าวัดฟังธรรมหรือทำจิตใจให้สงบ โดยไม่อยู่เคียงข้างพวกเขา เพราะผู้ป่วยจะรู้สึกทันทีว่าไม่มีที่พึ่งพา หรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่น่ารำคาญ และยิ่งตีตัวออกห่าง ส่งผลให้เกิดความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ได้
- อย่าทำเป็นไม่ได้ยิน หรือไม่อยากพูดถึงเมื่อผู้ป่วยพูดถึงการอยากตาย หลายๆ คนคิดว่าการเอ่ยหรือพูดคุยถึงเรื่องการฆ่าตัวตายกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจเป็นแนวโน้มให้ผู้ป่วยอยากทำ หรือชี้โพรงให้กระรอก แต่ในความเป็นจริงแล้วหากผู้ป่วยเอ่ยถึงการอยากตาย แล้วคนใกล้ตัวกลับมีท่าทีต่อต้าน หรือทำเป็นไม่สนใจเพื่อให้ผู้ป่วยเลิกคิด หรือมีคำพูดทำนองว่า "อย่าคิดมาก" "อย่าคิดอะไรบ้าๆ" ยิ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่ลงอย่างมากว่าเราไม่รับฟังสิ่งที่เขารู้สึกคับข้องใจ ไม่มีวันจะเข้าใจเขาจริงๆ
...
ทั้งนี้ โรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคติดต่อ การอยู่ร่วมกับผู้ป่วยซึมเศร้า ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบาก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจ การใส่ใจ การช่วยที่ดีที่สุดคือการอยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ และการเปิดใจรับฟังความรู้สึก ความคิดและจิตใจของพวกเขา โดยไม่ตัดสิน เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าล้วนต้องการ