รายงานจนกระทั่งถึงปลายเดือนเมษายน 2024 ตอกย้ำความเชื่อมโยงของวัคซีน mRNAกับอัตราตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (statistically significant increases) ของมะเร็งทุกชนิดโดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen– related cancers) ตามหลังการระดมฉีดเข็มสาม

รายงานจากประเทศญี่ปุ่นในวันที่แปดเมษายน 2024 ในวารสาร Cureus ในเครือเนเจอร์ โดยที่เป็นการรายงานประเมินผล กระทบของการระบาดโควิดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ เป็นการวิเคราะห์อัตราการตายของมะเร็ง 20 ชนิดในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ข้อมูลของทางการที่เกี่ยวข้องกับการตาย การติดเชื้อโควิดและการฉีดวัคซีนโควิด โดยเป็นการปรับตัวแปรในช่วงอายุต่างๆ (age adjusted mortality)

ผลที่ได้ถือเป็นการค้นพบที่น่าตกใจ ในช่วงหนึ่งปีแรกของการระบาดโควิด ไม่พบการตายที่เกิดจากมะเร็งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (excess cancer deaths) แต่การตายกลับเพิ่มขึ้นโดยแปรตามการฉีดวัคซีนโควิด

ผลของโปรตีนหนามและอนุภาคนาโนไขมัน ทำให้หลอดเลือดอุดตัน

ผลการวิจัยต่างๆแสดงว่าวัคซีนโควิดก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตันของเส้นเลือดและยิ่งเป็นคนป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดังนั้น จะทำให้อัตราตายของมะเร็งยิ่งสูงขึ้นไปอีก หลังจากมีการระดมการฉีดในประเทศญี่ปุ่น

...

จากการศึกษาพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสโควิดและจากวัคซีนเองนั้น มีศักยภาพทางไฟฟ้าบวกและทำให้จับกับ glycocon jugates ที่มีศักยภาพทางไฟฟ้าเป็นลบและอยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงและเซลล์ชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นโปรตีนหนามยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันผ่านทางตัวรับ ACE2 ทำให้เกิดผนังหลอดเลือดหนาตัว ขัดขวางการทำงานของไมโตคอนเรีย โรงพลังงานของเซลล์และ การเกิด reactive oxygen species (ROS) https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3880197/#:~:text=In%20cancer%20cells%20high%20levels, thymidine%20phosphorylase%2C%20or%20through%20crosstalk

ทั้งนี้ ROS เป็น highly reactive radicals ions หรือโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอน โดดเดี่ยว ไม่มีคู่ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิด พันธะ (single unpaired electron) โดยที่เซลล์มะเร็งนั้นจะมีปริมาณของ ROS สูงมากจากผลของเมตาบอลิซึม การทำงานของ oncogene และการที่ไมโตคอนเดรียผิดปกติและยังรวมทั้งกลไกทางด้านภูมิคุ้มกันต่างๆ

ส่วนจำเพาะของโปรตีนหนามยังสามารถทำให้เกิดการก่อตัวของโปรตีนอมิลอยด์ (fibrous insoluble tissue) และแอนติบอดีต่อโปรตีนหนามที่เกาะกับโปรตีน S ที่โผล่ออกมาจากผิวเซลล์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อของตนเอง และอธิบายปรากฏการณ์เกิดแท่งย้วยสีขาว หรือ white clots

ระบบการเฝ้าระวังตรวจตรามะเร็งของมนุษย์อ่อนด้อยลง...จากการที่วัคซีนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจึงทำให้มีการปะทุของไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว โดยที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไวรัสงูสวัด ไวรัสเริม herpesvirus 8 โดยที่ไวรัสตัวนี้ถือว่าเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิด Kaposi’s sarcoma และการปะทุของไวรัส EBV และ human papilloma virus ที่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอ ปรากฏการณ์เช่นนี้จะช่วยอธิบายอัตราการตายที่สูงขึ้นของมะเร็งที่ริมฝีปาก ช่องปากและลำคอในปี 2022 ในประเทศญี่ปุ่นที่มีการระดมฉีดเข็มที่สาม

การเปลี่ยน RNA เป็น DNA จากกระบวนการ reverse transcription และเข้าไปเสียบในจีโนมของมนุษย์

...

รายงานในปี 2022 ในวารสาร Current Issues in Molecular Biology แสดงให้เห็นว่าวัคซีน mRNA สามารถเสียบเข้าไปในยีนของมนุษย์หรือดีเอ็นเอโดยใช้กระบวนการนี้ https://www.mdpi.com/1467-3045/44/3/73 

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 รายงานในวารสาร Medical Hypotheses พบว่าการเพิ่มปริมาณของวัคซีน mRNA และโมเลกุลของดีเอ็นเอที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนจากอาร์เอ็นเอในเซลล์ (cytoplasm) จะสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะอักเสบด้วยตัวเองอย่างเรื้อรัง และนำไปสู่ภูมิคุ้มกันแปรปรวนต่อต้านตัวเอง จนกระทั่งถึงการทำลายดีเอ็นเอ และเกิดมะเร็งในมนุษย์ที่มีปัจจัยโน้มน้าวอยู่แล้วด้วย

นักวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์ Kevin McKernan พบว่าวัคซีนโควิดสามารถถูกเปลี่ยน ให้เป็นดีเอ็นเอ ทั้งนี้ โดยสามารถตรวจพบส่วนของพันธุกรรมโปรตีนหนามของวัคซีนโควิดในโครโมโซม 9 และ 12 ของเซลล์มะเร็งเต้านมและรังไข่หลังจากที่ฉีดวัคซีนโควิด mRNA และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับบาง batch ของวัคซีนที่มีปริมาณของดีเอ็นเอที่ปนเปื้อนกับความรุนแรงของผลข้างเคียงและผลกระทบที่เกิดขึ้น

...

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสาธารณสุข และการแพทย์ของฝรั่งเศส Helene Banoun ได้สนับสนุนรายงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคล้องจองกับศักยภาพในการกระตุ้นการเกิดมะเร็งจาก ผลิตภัณฑ์ที่เป็น gene therapy ซึ่ง mRNA วัคซีน ถือว่าจัดอยู่ในประเภทนี้ และผลของวัคซีนที่เหนี่ยวนำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันชาด้าน (immune tolerance) ส่งเสริมการเกิดมะเร็ง

ทั้งนี้ สำนักอาหารและยาของสหรัฐฯเอง ได้มีการระบุอย่างชัดเจนมาก่อนว่า มีกลไกหลายอย่างที่เป็นไปได้ที่ DNA ที่ปะปนปนเปื้อนจะทำให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ รวมถึงการที่เข้าไปเสียบในดีเอ็นเอของมนุษย์และสั่งให้มีการสร้างยีนมะเร็ง (oncogenes) หรือมีการสอดใส่ซึ่งทำให้มีการผันแปรทางรหัสพันธุกรรม (intentional mutagenesis) https://www.fda.gov/media/78428/download?utm_medium=email&utm_source=transaction 

คณะผู้รายงานจากญี่ปุ่นได้ตอกย้ำว่า กระบวนการวิธีมาตรฐานในผลิตภัณฑ์วัคซีน ตามที่สำนักอาหารและยาของสหรัฐฯได้ระบุไว้นั้นควรต้องถูกนำมาพิจารณา ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงระบาดของโควิดนั้น เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น

บทความนี้เรียบเรียงจากรายงานของคณะผู้ศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นและจากคุณเมแกน เรดชอ สื่อเอปิค ไทม์ส.

หมอดื้อ

คลิกอ่านคอลัมน์ “สุขภาพหรรษา” เพิ่มเติม