ลำพังในสถานการณ์ปกติ เราทุกคนก็ต้องคอยดูแลตัวเองให้รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บกันมากมายอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันนี้ยังต้องเหนื่อยหนักมากขึ้นอีกหลายเท่า กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งหากเกิดพลาดพลั้งติดเชื้อขึ้นมา ก็จะนำพาความลำบากมาสู่ทั้งตัวเราเองและคนใกล้ชิด
นั่นจึงทำให้เราไม่ควรนิ่งเฉยที่จะยิ่งหันกลับมาดูแลตัวเองให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการมีภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานที่แข็งแรงเพียงพอ เพื่อให้ห่างไกลจากโควิดได้มากที่สุด หรือหากพลาดติดเชื้อขึ้นมา อาการก็จะได้ไม่รุนแรง และฟื้นตัวหายดีได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นได้ นั่นก็คือ การรับประทานวิตามินต่างๆ
บทบาทของวิตามินและอาหาร กับการต้านทานโรค
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อโควิด การดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพื่อลดอาการรุนแรงในระหว่างติดเชื้อ หรือการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาหายดีเป็นปกติ หลังหายจากโควิดแล้ว ตลอดจนกับทุกโรคต่างๆ นั้น หัวใจสำคัญจะอยู่ที่การทำให้ร่างกาย “อยู่ในสภาวะที่มีภูมิคุ้มกันอย่างแข็งแรงที่สุด” ซึ่งการรับประทานอาหารและวิตามิน ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย โดยบทบาทของอาหารและวิตามินที่มีต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน มีดังต่อไปนี้
...
- ถ้าร่างกายมีน้ำตาลสูง มีไขมันสูง จะทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานด้อยประสิทธิภาพลง ดังนั้น ในการรับประทานอาหารจึงจำเป็นต้องลดของหวาน ลดไขมัน และคาร์โบไฮเดรตลง เพราะถ้ารับประทานมากเกินไป ภูมิคุ้มกันจะไม่ดี ร่างกายอ่อนแอง่าย อาจติดโควิดได้ง่ายขึ้น ติดแล้วอาการรุนแรงขึ้น หายโควิดแล้วก็ฟื้นตัวได้ช้า เป็น Long COVID ยาวนาน จนบั่นทอนคุณภาพชีวิต แต่สำหรับโปรตีนนั้น สามารถรับประทานได้ไม่จำกัด ยิ่งรับประทานมากยิ่งดี เพราะมีส่วนเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
- ต้องรับประทานวิตามินกับเกลือแร่ให้เพียงพอ เพราะเป็นสารอาหารที่มีส่วนในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายโดยตรง ทั้งนี้ วิตามินและเกลือแร่ จัดเป็นสารอาหารประเภท ไมโครนิวเทรียนท์ หรือสารอาหารโมเลกุลขนาดเล็ก ที่แม้จะไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกายเหมือนกับ ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ที่เป็นสารอาหารประเภท แม็คโครนิวเทรียนท์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะถ้าร่างกายขาดวิตามินและเกลือแร่ จะทำให้เจ็บป่วยง่าย
อยากปลอดภัยจากโควิด ควรกินวิตามินและเกลือแร่อะไรบ้าง
วิตามินและเกลือแร่สำคัญ ที่มีส่วนช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ที่เราควรรู้จักไว้ และควรรับประทานนั้น มีดังต่อไปนี้
1. วิตามินซี เป็นวิตามินที่แนะนำให้รับประทานเยอะที่สุด เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ โดยวิตามินซีจะมีส่วนช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ วิตามินซีมีมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะขาม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ รวมถึงฝรั่ง และในผักใบเขียว อาทิ ผักโขม บรอกโคลี
2. วิตามินดี ช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน แต่เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ ทั้งนี้ ในงานวิจัยกลับพบว่า คนกรุงเทพฯ กว่าครึ่ง มีภาวะขาดวิตามินดีสูง อาจเนื่องมาจาก “ความกลัวแดด” ดังนั้น เราจึงแนะนำว่า ควรพาตัวเองออกไปโดนแดดวันละประมาณ 15 นาที อาจเป็นช่วงเช้าราว 9-10 โมงก็ได้ เพื่อให้ได้รับแดดที่ไม่แรงเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว แดดที่ดีที่สุดสำหรับการสังเคราะห์วิตามินดี คือ แดดตอนกลางวัน เพราะมี UVB ที่ช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดีสูง นอกจากนี้ เราก็ยังรับวิตามินดีได้จากการรับประทานอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ไข่ นม เนื้อปลา ไข่แดง เป็นต้น
3. สังกะสี เป็นเกลือแร่ที่โดดเด่นที่สุด ในเรื่องคุณสมบัติช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในอาหารหลากหลายชนิด ทั้งอาหารทะเล ผัก เนื้อสัตว์ และธัญพืช
3 วิธีรับวิตามินเข้าสู่ร่างกาย 3 สไตล์การสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อความแข็งแรง
การเสริมวิตามิน เราสามารถทำได้ 3 วิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีความโดดเด่นและความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างกัน ดังต่อไปนี้
1. การรับวิตามินผ่านการรับประทานอาหาร
จะทำให้เราได้ประโยชน์จากสารอาหารหลายหมู่ และได้รับวิตามินหลากชนิด เช่น ถ้าเรากินฝรั่ง นอกจากจะได้รับวิตามินซีแล้ว ยังได้กากใยอาหารและไฟเบอร์ที่ช่วยในเรื่องการขับถ่าย แต่หากเทียบในแง่ของปริมาณวิตามินที่ได้แล้ว การรับประทานอาหารมักได้รับวิตามินที่น้อยกว่าการทานวิตามินแคปซูล หรือการดริปวิตามินเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ยิ่งหากใครมีปัญหาเรื่องระบบการดูดซึมสารอาหารที่ไม่ค่อยดี การรับวิตามินจากการรับประทานอาหาร ก็จะส่งผลลัพธ์ที่ช้าลงไปอีก
2. การรับประทานวิตามินแบบเม็ด
เป็นการได้รับวิตามินเข้าสู่ร่างกายได้จำนวนมากในคราวเดียว เพราะเป็นการสกัดเอาวิตามินแบบเข้มข้น มาอัดรวมกันไว้ในเม็ดวิตามิน เช่น วิตามินซี 1 แคปซูล อาจมีปริมาณวิตามินซีเท่ากับฝรั่ง 4 ลูก เป็นต้น จึงเหมาะกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแบบเร่งด่วน เพราะให้ผลลัพธ์ได้รวดเร็วกว่าการรับวิตามินผ่านการรับประทานอาหาร แต่อย่างไรก็ตาม วิตามินแบบเม็ดนั้น บางชนิดเป็นวิตามินแบบสังเคราะห์ ที่อาจมีสารเคมีปนเปื้อน จึงต้องระมัดระวัง และการทานแต่วิตามินเม็ดอย่างเดียว โดยไม่รับประทานอาหารให้เหมาะสม ก็อาจทำให้ขาดสารอาหารอื่นๆ ได้โดยไม่รู้ตัว
3. การดริป (Drip) วิตามินเข้าสู่ร่างกาย
...
เป็นการฉีดวิตามินเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านทางเส้นเลือด ทำให้ได้รับวิตามินที่เข้มข้น จึงเห็นผลลัพธ์เร็วที่สุด เพราะการรับประทานวิตามินแคปซูลเข้มข้น หรือรับผ่านอาหารจะยังต้องผ่านการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอีกหลายชั้น ดังนั้น การดริป (Drip) วิตามินจึงเหมาะในการใช้ฟื้นฟูร่างกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาแข็งแร็งโดยเร็ว เช่น ผู้ป่วยหลังหายจากโควิด นอกจากนั้นแล้ว ผู้ป่วยหลังหายจากโรค ยังอาจมีอาการเบื่ออาหารอยู่ การรับวิตามินผ่านอาหารจึงทำได้ไม่เต็มที่นัก
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อคนทำงาน เพิ่มภูมิต้านทาน และบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง
ในทุกวัน เราต่างก็ต้องคร่ำเครียดกับการทำงานอย่างหนัก และไหนจะต้องฝ่าฟันกับสถานการณ์โรคระบาดที่ดูไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงได้เลยในเร็ววัน รวมถึงผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ และผมร่วง ภายหลังจากการติดเชื้อโควิด-19 และหายแล้ว หรือที่เรียกว่า ภาวะลองโควิด (Long COVID) ด้วย ดังนั้น การหาอาหารเสริมคุณภาพที่ช่วยเพิ่มวิตามินสำคัญให้กับร่างกาย และช่วยบำรุงอวัยวะต่างๆ ของเราให้ทำงานอย่างเต็มระบบและมีประสิทธิภาพ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากทำได้ง่าย ยังสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่ผลลัพธ์ของการมีสุขภาพดี โดย 3 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่คนทำงานควรได้รับ มีดังต่อไปนี้
1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไนท์เซนต์ (NITESENSE)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของฟาร์มากาบา (PharmaGABA), แมกนีเซียม (Magnesium), แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) และ โคลีน ไบทาร์เทรต (Choline Bitartrate) ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสารสื่อประสาทและคลื่นสมองในการนอนหลับ ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย นอนหลับได้สนิท ซึ่งการที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเพียงพอเต็มอิ่มนั้น จะส่งผลโดยตรงต่อการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สดชื่น กระปรี้กระเปร่า
...
2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแอคทีว่า (ACTIVA)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของถั่งเช่า (Cordyceps), โสม (Ginseng), กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid), ทอรีน (Taurine), โคเอนไซม์คิว 10 (Coenzyme Q10) และ วิตามิน C, D3, B5, B6, B12 มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของอินซูลิน รักษาระดับฮอร์โมนคอติซอล และทำให้หัวใจทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รู้สึกมีพลัง สดใส ไม่เครียด ซึ่งความเครียดนั้นถือเป็นศัตรูตัวร้าย ที่จะนำพาความอ่อนแอและโรคภัยต่างๆ มาสู่ร่างกายได้
3. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไฮร่า-ดี (HIRA-D)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของแอลซีสเตอีน (L-Cysteine), แอล-ไลซีน (L-Lysine), แอล-อาร์จินีน (L-Arginine), ผงฮอร์สเทล (Horsetail Powder), โคเอนไซม์คิว 10 (Coenzyme Q10) และ วิตามิน E, B3, B5, B6, B2, B1, B12 มีส่วนสำคัญในการสร้างเส้นผมและเล็บให้แข็งแรงสมบูรณ์สวยงาม ซึ่งยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งทำงานหนัก เครียดมากขึ้น ผมก็จะอ่อนแอ หลุดร่วงได้ง่าย อันจะส่งผลต่อความมั่นใจ และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ซึ่งโรคต่างๆ จะเกิดได้ง่ายขึ้น
วิตามินถือเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ในทุกช่วงอายุและทุกภาวะ ไม่ว่าจะตอนที่ร่างกายเป็นปกติ ตอนที่กำลังป่วย หรือว่าหายป่วยดีแล้ว เพราะวิตามินมีหน้าที่สำคัญโดยตรงต่อการทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งหากปล่อยให้ร่างกายขาดวิตามิน ภูมิคุ้มกันก็จะต่ำ ร่างกายจะอ่อนแอลง เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เวลาป่วยก็เป็นหนักและหายช้ากว่าที่ควร ฟื้นตัวได้ช้า
หลายคนอาจจะยังมีความเข้าใจผิดอยู่ว่า การกินวิตามินเสริมนั้นไม่มีประโยชน์ และไม่ได้ช่วยอะไร จึงทำให้พลาดโอกาสที่จะดูแลร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ทั้งนี้ แม้วิตามินไม่ได้เป็นยารักษาโรคโดยตรง และไม่ได้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคเหมือนยาบางประเภท แต่วิตามินก็คือหนึ่งในสารอาหารหลักที่ร่างกายขาดไม่ได้ นี่คือความจริงที่เราทุกคนควรตระหนักรู้และให้ความสำคัญ เพื่อจะได้ศึกษาและใช้วิตามินในการดูแลร่างกายของตนและคนที่รักให้แข็งแรงได้มากที่สุด.
บทความโดย : พ.ญ.เมธชนัน เลิศชุณหะเกียรติ แพทย์หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์เชิงป้องกัน โรงพยาบาลพญาไท 3
...