เราเชื่อว่าสาวๆ หลายคนคงจะเคยได้ยินสำนวน "กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่" กันอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นเพราะในยุคล่าอาณานิคม "น้ำตาล" ถือเป็นสินค้าราคาแพง มีแต่เหล่าชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีเงินทองพอจะหาซื้อมารับประทาน 

เมื่อเวลาผ่านไป...ความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินไทย สร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการค้า จนน้ำตาลก็ไม่ใช่สิ่งหายากอีกต่อไป ของหวานหลากหลายชนิดจึงถือกำเนิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำกินเองในครัวเรือนหรือทำขายในตลาดของชุมชน

มาจนถึงปัจจุบัน ชานมไข่มุก น้ำอัดลม ขนมเค้ก บิงซู หรือแม้แต่ช็อกโกแลต ต่างเป็นของหวานที่หาซื้อง่าย มีตั้งแต่ราคาถูกไปถึงแพง และแน่นอนว่ามีส่วนผสมของ "น้ำตาล" อยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อรับประทานบ่อยครั้งเข้า ก็จะเป็นเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน

หากคุณยังดึงดันที่จะรับประทาน "ของหวาน" ที่ใส่ "น้ำตาล" จำนวนมากเข้าไป Thairath Women ขอเตือนว่า นอกจากจะทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้น ยังทำให้ผิวของคุณแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรอีกด้วย ฉะนั้นเราจะมาแนะนำวิธี "เลิกของหวาน" แบบได้ผล เพราะเราพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว

...

5 ขั้นตอน "เลิกของหวาน" ให้ร่างกายเกิดความสมดุล

1. เริ่มด้วยการงดรับประทานของหวานหลังอาหารในมื้อเย็น แต่ในระยะแรกอนุโลมให้สามารถรับประทานขนมหวานในมื้อเช้าและกลางวันได้ เมื่อทำได้แล้ว..ในสเตปต่อไปสามารถรับประทานของหวานหลังอาหารได้ 1 มื้อ ต่อ 2 วัน

2. ค่อยๆ ลดปริมาณน้ำตาลที่รับประทานในแต่ละวันลงให้น้อยกว่าเดิม ยกตัวอย่าง หากคุณเป็นสาวออฟฟิศที่ติดการซื้อขนมขบเคี้ยวเข้าไปรับประทานตอนบ่าย ให้ลองเปลี่ยนเป็นผลไม้ อาทิ แอปเปิ้ล ส้ม สาลี่ สับปะรด หรือแตงโมที่มีน้ำเยอะจะได้ชื่นใจ

3. เปลี่ยนจากการรับประทานน้ำหวานเป็นน้ำเปล่า หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้เลือกน้ำผลไม้คั้นสด หรือน้ำผลไม้ปั่นแบบไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม เพราะในผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนเวลาบ่ายๆ คุณสามารถดื่มชาใส่นม หรือโยเกิร์ตพร้อมดื่มแบบปราศจากน้ำตาลก็ได้

4. เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ โดยเฉพาะผักใบเขียว ผลไม้สด รวมถึงรับประทานธัญพืชต่างๆ เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้คุณอิ่มมากขึ้น ลดความหิวระหว่างวันได้ดี

5. หยุดเติมน้ำตาลลงไปให้อาหารที่คุณรับประทานทุกมื้อ เช่น หากคุณรับประทานก๋วยเตี๋ยว ก็ลองรับประทานแบบไม่ปรุงเพิ่มดู

ทีมงาน Thairath Women เชื่อว่าไม่ยากจนเกินไปสำหรับคุณสาวๆ ทั้งหลาย ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูนะคะ เราเป็นกำลังใจให้คุณมีสุขภาพดีไปพร้อมๆ กันค่ะ

ติดตามเรื่องราว "สุขภาพ" ดีๆ สำหรับผู้หญิงกันต่อได้ที่: