“บขส.เที่ยวสุดท้ายเคลื่อนบ่ายหน้า กลับสุพรรณบ้านนายามฟ้าค่ำ”

ระหว่าง “คุณชาย 2” มุ่งหน้าสู่เมืองสุพรรณบุรี เสียงบทกวีเหน่อๆ ของ “ล้อเกวียน” เพื่อนกวีชาวสุพรรณก็แว่วมาในความทรงจำ เมืองสุพรรณนอกจากเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เมืองปราชญ์ศิลปิน ถิ่นพ่อเพลงแม่เพลง และเพลงลูกทุ่งแล้ว ยังมีอาหารอร่อยๆให้ลิ้มลอง

เรามาชิมที่สวนอาหารบึงตะวันแดง อยู่ริมถนนเลี่ยงเมืองสุพรรณ รายล้อมด้วยทุ่งนาเวิ้งว้าง ขณะขับรถผ่านไป ชาวบ้านบ้างกำลังตีเทือก บ้างกำลังเก็บเกี่ยวข้าว บ้างก็ก้มๆเงยๆอยู่ในท้องนา บรรยากาศน่าสนุกสนาน

ทันทีที่ถึง ซุปเปอร์ขาไก่ร้อนๆ ก็มาวางเป็นอันดับแรก ตวัดช้อนตักซดเบาๆ อ่ะ...รสเปรี้ยวนำมานิดๆ เผ็ดตามมาหน่อยๆ กลิ่นกระเทียมเจือกลิ่นพริกสดโชยหอมมาน้อยๆ แม้จะตามไปอีกช้อน สองช้อนก็เหมือนยั่วให้อยากซดอยู่นั่นแล้ว ลองขาไก่และอวัยวะส่วนที่ไก่ใช้เดินดูบ้าง โอวว...เคี่ยวเปื่อยดีนัก ยามตักขึ้นมาเหมือนจะหลุดล่อนออกมาซะอย่างนั้น จึงสัมผัสได้ทั้งความนุ่มและกลิ่นหอมดีต่อใจ

ซดน้ำร้อนๆ ไม่ว่าจะรับประทานกับข้าว หรือเปล่าๆก็เป็นผลดี เนื่องจากเครื่องปรุงไม่ว่าจะเป็นพริก กระเทียม และส่วนผสมอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสมุนไพรมีสรรพคุณทางยา โดยเฉพาะกระเทียมนั้น หากรับประทานมากไป โบราณเตือนนัก เตือนหนาว่าไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพนัก เนื่องจากไปส่งเสริมพลังบางอย่างในร่างกาย ทำให้เกิดอาการคึกคักมากไป

...

อยู่ริมทุ่งไฉนเลยจะมองผ่านรายการเด็ดของชาวบ้านไปได้ ปลาช่อนเผาฟางหอมฉุยยั่วน้ำลายดีนัก ปลาตัวเขื่องอบฟางมาร้อนๆ เคียงด้วยน้ำจิ้มทั้งพริกแดงและน้ำจิ้มซีฟู้ดอร่อยไปคนละแบบ แซ่บไปคนละอย่าง เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ปลานั้นเล่าก็เนื้อนุ่ม ค่อยๆเซาะเกล็ดออกเผยเนื้อขาวสะอาด ควันลอยจางๆออกมาให้เห็นถึงความสดจากเตาเผามาจากฟาง ค่อยๆจิ้มส่งเข้าปาก เคี้ยวพลาง มองบึงขนาดใหญ่ข้างร้านไปพลาง บอกตรงๆว่าไม่อยากเอ่ยคำว่าอิ่มเลยจริงๆ

อาหารพื้นบ้านกาญจน์-สุพรรณที่พลาดไม่ได้คือ แกงป่า ร้านบึงตะวันแดงมีแกงป่าไก่ กลิ่นเครื่องแกงคุ้นจมูกเสียเหลือเกิน ปรายตาไปเห็นมะเขือเหลือง กะเพรา พริกแดงผ่าโรยหน้า เนื้อไก่ใส่มาชนิดไม่หวงและไม่ห่วงว่าจะสิ้นเปลือง บรรจงตักซดเข้าไปแรงๆ กลิ่นแกงพื้นบ้านกระฉอกรสข่า ผิวมะกรูด พริกแห้ง พร้อมเครื่องปรุงอื่นๆตามไปอีกช้อน คราวนี้เหมือนตอกย้ำความกลมกล่อมของน้ำแกง เสมือนบอกให้รู้ว่า พ่อครัวหรือแม่ครัวไม่ธรรมดา ตักเนื้อไก่ออกมาล้วนๆ ปลิ้นเอาเนื้อส่งเข้าไป เนื้อไก่แน่น นุ่ม ไม่เหนียว และไม่เละเหมือนเนื้อไก่ทั่วไป แสดงให้รู้ว่าเป็นไก่บ้าน

แดดอ่อนๆ ตอนเย็นๆ ชิมไก่บ้านแล้ว “คุณชาย 2” ลองต้มโคล้งปลาดุก

ปกติต้มโคล้งปลาดุกมักเป็นเนื้อแห้งๆ แต่ร้านนี้หาเป็นเช่นนั้นไป ปลาดุกแต่ละชิ้นยังคงเหลือความสดของเนื้อไว้ให้เคี้ยว เรียกง่ายๆว่ามีน้ำต้มโคล้งและมีเนื้อปลาดุกให้เลาะออกจากก้างนั่นเอง เสน่ห์ของต้มโคล้งอยู่ที่น้ำต้ม ลองซดไปแรงๆ เปรี้ยวนำมานิดๆ เผ็ดเจือมาจางๆ เครื่องปรุงอื่นๆผสมกันมาบอกให้รู้ว่า “แซ่บ”

ระหว่างเคี้ยวเพลินๆ เห็นควันลอยคว้างอยู่ริมทุ่ง พลันมีเสียงกระซิบว่าเป็นควันจากไฟอบไก่ ร้านมีรายการอาหารเด็ดอีกอย่างคือ “ไก่อบฟาง” สนทนากันผ่านไปไม่ทันไรไก่อบฟางก็มาวางเบื้องหน้า พร้อมกับน้ำจิ้มทั้งที่เป็นพริกแดงและซีฟู้ด

...

เสน่ห์ของไก่อบฟางคือ กลิ่นหอมจากควันไฟที่เกิดจากฟาง ลองเข้าไป 1 ชิ้น พบว่ากลิ่นหอมควันจากฟางยังเหลือให้สัมผัสได้ เนื้อไก่แน่น นุ่ม แสดงว่าเป็นไก่บ้าน ไม่ใช่ไก่เลี้ยงมาเป็นฟาร์มที่เนื้อจะเละๆ บางคราวมันมากเกินไปก็จะเลี่ยน

อิ่มอร่อยกับอาหารแล้ว มองบรรยากาศรอบๆบึงขนาดใหญ่เนื้อที่ราว 20 ไร่ คุณสุวิทย์ แจ้งสนอง เจ้าของร้านบอกว่าซื้อมาเพื่อทำร้านอาหารโดยเฉพาะ ในบึงปล่อยปลาไว้หลายชนิด วงน้ำที่ปลาผุดอวดโฉมอยู่นั้นเป็นพยานได้ รายรอบบึงมีทิวสนและต้นไม้ร่มรื่น

...

“ผมเพิ่งมาเริ่มที่นี่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว” สุวิทย์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี และบอกว่า เดิมเป็นท้องนา เจ้าของที่ดินขุดดินไปขายแล้วก็ขายที่ดินให้ในราคาเป็นกันเอง พอดีช่วงนั้นกำลังมองหาทำเลร้านใหม่อยู่จึงซื้อไว้และสร้างร้านอาหาร

ก่อนหน้านั้นจนถึงปัจจุบัน สุวิทย์ทำร้านอาหารชื่อ “เปลือกไม้งาม” (ปัจจุบันคือโรงเหล้าตะวันแดง) อยู่ในตัวเมืองสุพรรณ ส่วนร้าน “บึงตะวันแดง” เป็นร้านอาหารกลางทุ่งที่เพิ่งบุกเบิกใหม่ แต่เรื่องรสชาติอาหารนั้นไม่ใหม่ เนื่องจากพ่อครัวเป็นคนพื้นที่ทำอาหารอร่อย แถมได้ฝึกปรือการทำอาหารจากพ่อครัวหลักของร้านเปลือกไม้งามมาเป็นอย่างดี

...

นอกจากได้พ่อครัวดีแล้ว พิเศษสุดๆ เห็นจะเป็นทิวทัศน์สวยงาม ยามเย็น จะนั่งในพื้นโล่งแจ้งข้างร้านก็ได้ หรือจะลงไปนั่งบนแพก็ไม่มีใครว่าอะไร แพรองรับคนได้นับร้อย เวิ้งน้ำพื้นที่ราว 20 ไร่ มองได้เพลินๆ แถมมีปลาหลากชนิดฮุบเหยื่อให้ดูเป็นขวัญตาอีกด้วย “ผมเอาผักมาใส่ปรากฏว่าปลากินหมด” เจ้าของร้านเอ่ยพลางหัวเราะหึๆ

ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-22.30 น. พื้นที่จอดรถกว้างขวาง รับจัดเลี้ยงคนได้ราว 500 คน แถมด้วยดนตรีประจำทุกคืน เล่นตั้งแต่เวลา 19.00-21.30 น. บางคืนทางร้านก็จัดหา “โฟล์คเหน่อ” ของลำภา มัคศรีพงษ์ มาเล่นให้ชมฟรี เบอร์ติดต่อสอบถามทางร้าน 08-9918-7601 ราคาอาหาร สุวิทย์ยืนยันว่า อยู่ในระดับกลางๆ เพราะที่ดินไม่ได้เช่า วัตถุดิบปรุงต่างๆซื้อหาได้จากท้องถิ่น จึงไม่ต้องห่วงเรื่องราคาว่าจะเผ็ดร้อนถึงขนาดรับประทานไม่ลง

สนใจอาหารพื้นบ้านเมืองสุพรรณ บรรยากาศกลางทุ่ง ริมบึงกว้างใหญ่ “คุณชาย 2” ขอบอกว่าบึงตะวันแดงท้าทายการลิ้มลอง.

“คุณชาย 2”