ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบอาหารคลีน รับประกันว่าร้านนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เป็นร้านของคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตา ทั้งสีสันและรสชาติ ไทยรัฐออนไลน์พาไปชมกัน...

มัดหมี่-วราพรรณ วัชรพล เจ้าของร้านอาหารคลีนสุดสร้างสรรค์ เล่าถึงที่มาของการทำอาหารคลีนว่า อาหารคลีนดูเป็นเหมือนเทรนด์การกินที่คนใช้อธิบายอุปนิสัยของผู้รักสุขภาพ เวลามีคนตัดสินอาหารหมี่หรือถามว่าคลีนใช่ไหม หมี่จะถามกลับไปว่าอาหารคลีนคืออะไรคะ คำตอบที่ได้คือ อาหารลดน้ำหนัก อาหารสุขภาพ ดังนั้นจึงอยากอธิบายสั้นง่ายๆ ว่าการกินคลีนคือการนำวัตถุดิบต่างๆ จากธรรมชาติมาอยู่ในจานพร้อมทาน โดยไม่ได้ผ่านการแปรรูป หรือผ่านการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เก็บความสดและประโยชน์ที่สมบูรณ์ ดังนั้น รสชาติอาหารคลีนจะมีความเป็นกลาง กลมกล่อม ไม่มีรสใดที่จัดเกินไป เพราะเวลาลิ้นเราได้รับรสชาติใดๆ มากเกินความพอดี มันจะโหยหารสตรงข้ามเช่นกันเป็นปกติ เช่นทำไมเวลาเราทานส้มตำเผ็ดๆ เราจะอยากทานอะไรหวานๆ เย็นๆ ตอบสนองอาหารรสจัด

...

"หมี่คิดว่าการกินคลีน มันคือการใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์รูปแบบหนึ่ง สำหรับหมี่มันมีความหมายมากกว่าการประกอบอาหารและมื้ออาหารนั้นๆ หมี่คิดว่าอาหารที่คลีนจริงมาจากความบริสุทธ์ของใจด้วย ที่เราไม่ได้เสแสร้งเติมแต่งรสชาติให้เวอร์ หรือใช้เป็นข้ออ้างในการค้าขายทำตลาด เข้าใจนะคะว่ามันเป็นจุดขายตามกระแส แต่ถ้าตราบใดที่เราใช้ชีวิตตามเทรนด์ตามกระแส สักวันเดี๋ยวกระแสมันก็ไปค่ะ แล้วการรับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพล่ะคะ อย่าปล่อยให้มันไปเลย ดังนั้นอย่ามองการกินให้เป็นเทรนด์เลย การดูแลตัวเองมันไม่ควรมีวันจบ"

หลายคนไม่รู้ว่าเป็นคนชอบทำอาหรร? มัดหมี่ยิ้มหวานและบอกว่า ปกติ เป็นคนชอบทำอาหารและรักธรรมชาติ เคารพในรสชาติของแต่ละวัตถุดิบ หมี่ชอบจินตนาการรสชาติอาหารว่าอะไรจะเข้ากับอะไรได้บ้าง ดังนั้น การผสมผสานของหมี่เกิดขึ้นจากความอยากรู้อยากลอง แรงบันดาลใจ inspiration ต่างๆ ที่เราซึมซับมา ไม่ว่าจะเป็นรสอาหารที่ชอบอยู่แล้วและโตมาด้วย หรือประสบการณ์จากการเดินทางเมื่อค้นพบวัตถุดิบ หรือรสชาติอะไรใหม่ๆ หมี่ก็จะรวบรวมมันมาประกอบอาหารโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ผัก ผลไม้ สมุนไพรต่างๆ เป็นตัวให้รสชาติ

...

สำหรับหมี่ แต่ละเมนูที่คิดเปรียบเหมือนการเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่าน porridge ถ้วยนึง ซึ่งหมี่เห็นว่าข้าวโอ๊ตคือ canvas แล้ววัตถุดิบต่างๆ คือสีที่หมี่ระบายลงไป การอยู่เมืองไทยเห็นวัตถุดิบที่เราอาจจะไม่คุ้นกับการทานนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยทำให้อาหารหมี่ไม่เหมือนใคร เพระหมี่อาจจะมองต่าง ไม่มีผลไม้หรือผักอะไรที่ต้องบริโภคตายตัวแบบใดแบบหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เราสามารถนำความคิดสร้างารรค์มาใช้ได้กับการคิดแต่ละเมนูค่ะ เคยเอาขวดตัวเองไปซื้อน้ำตาลสด พ่อค้าถามว่าเอาไปทำอะไร เราเลยบอก เอาไปลองทำโจ๊ก เขาก็มองเราแบบงงๆ แปลกๆ

"อาหารของหมี่ที่ทีชื่อว่า Vara’s (ซึ่งเป็นชื่อย่อของชื่อจริงของหมี่ Varapun) จะมีศัพท์อธิบายว่า FRESH HONEST NATURAL ซึ่งบ่งบอกถึงกรรมวิธีแต่ละขั้นตอนว่า ทุกอย่างมาจากธรรมชาติ สดๆ ตั้งแต่วัตถุดิบอาหาร ภาชะที่ใช้ (ไม่ใช้พลาสติกหรือโฟม) รวมถึงเจตนาของหมี่จากวัตถุดิบอาหารถึงผู้บริโภค หมี่ะบอกเค้าตรงๆ ว่าอาหารหมี่มีอะไรใส่ อะไรเป็นยังไง เพราะสุดท้ายเราเชื่อว่าธรรมชาติไม่น่าจะให้โทษอะไรเราได้ หมี่อยากให้คนทานอย่างมีความสุข ตั้งแต่เมื่ออาหารถึงมือ แกะออกมา เห็นรูปทรง และตักเข้าปาก มันเป็นเหมือนพิธีรีตองของการรับประทานสไตล์ Vara’s 

...

"ถามว่าเพราะอะไรถึงเปิดธุรกิจขายอาหารคลีน เพราะอาหารเช้าที่มีคุณภาพโภชนาการที่สมดุลหายากค่ะ สมัยหมี่ทำงานออฟฟิศ ต้องเตรียมเองตลอด เวลาไปออกกำลังกายตอนเช้าก่อนไปทำงานก็ต้องเตรียมมื้อเช้าตัวเอง อย่างกลางวันยังพอหาซื้ออะไรที่มีประโยชน์ได้ แต่มื้อเช้าที่หนูสังเกตเห็น คือยังไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทานเริ่มวันของเรา จริงๆ มันเลยเป็นจุดเริ่มค่ะ หมี่ถือว่าอาหารเช้าคือการฉลองกับตัวเองเล็กๆ น้อยๆ เริ่มวันใหม่ด้วยสิ่งดีให้ตัวเอง ก่อนเอาแรงไปให้คนอื่นหรือกับงานค่ะ หมี่เชื่อว่าถ้าเราไม่หาสิ่งดีๆ มอบให้กับตัวเอง"

...

เธอย้ำว่า เราก็จะไม่มีสิ่งดีๆ แชร์ หรือมอบให้กับคนอื่นโดยเฉพาะงานเช่นกัน อาหารของหมี่เลยผูกมาเป็นโบว์ เพราะกิริยาของการแกะของขวัญ แกะโบว์ มันจะมาพร้อมความตื่นเต้น ความสุขเล็กๆ น้อยๆ บวกกับคนให้ความใส่ใจกับอาหารมากขึ้น และเริ่มมีการสั่งข้าวกล่องกัน หมี่เลยตัดสินใจทำตรงนี้

5 เมนูแนะนำที่ห้ามพลาด

เมนูแรก ข้าวโอ๊ตกับ กล้วย มะพร้าว และงาหอม (Banana Coconut)

เมนูนี้คนที่ชอบขนมไทยที่มีกล้วยน้ำว้า กะทิ เป็นส่วนประกอบ จะฟินมาก เพราะว่ามันมีความเข้ากันเป็นอย่างดี เมื่อข้าวโอ๊ตนุ่มๆ ที่มีกลิ่นหอมๆของมะพร้าว มีความหวานจางๆ และ texture หนึบๆ แทรกอยู่จากกล้วยน้ำว้า บวกกับเมล็ดงาหอมจากเชียงใหม่ เพิ่มโอเมก้า 3 รสชาติ อันนี้มีกลิ่นอายความเป็นไทย ความเป็นภูมิประเทศเมืองร้อน 

เมนูที่ 2 ข้าวโอ๊ตกับ มะพร้าว ชาเขียว และ พิสตาชีโอ (Coconut Matcha)

ฟังว่าน่ากิน รสชาติน่ากินกว่า เมนูนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบชาเขียวมากๆ ไอเดียเมนูนี้มาจากลาเต้ชาเขียว + กะทิ มาให้ความมันหอมๆ แทน ซึ่งเข้ากับชาเขียวได้เป็นอย่างดี ข้าวโอ๊ตถ้วยนี้จะได้ความหวานน้อยๆ จากอินทผาลัม และต้องจากพันธุ์เมดจูลด้วย เพราะมันจะมีรสคาราเมลหอมๆ และเนื้อก็จะฉ่ำกว่า อร่อยกว่าพันธุ์ทั่วๆ ไป วัตถุดิบสำคัญมากค่ะ หมี่เลือกแต่ของที่ทานเองอยู่แล้ว มันทำให้อาหารของเราออกมาดี อันนี้ตอนทำเราก็นึกแต่สีเขียวแบบประมาณว่าต้องเป็น green porridge เลยเอาถั่วพิสตาชีโอมาใส่เพิ่มความขบเคี้ยวและรสมันๆ ค่ะ เมนูนี้ป๊อบปูลาร์ที่สุด แต่ถ้าจะให้เลือก ยังไงหมี่ก็เลือกกล้วยมะพร้าวอยู่ดี

เมนูที่ 3 คีนัวกับครีมเต้าหู้และผักใบเขียว (Quinoa Tofu)

เมนูคาวอันแรกที่หมี่เริ่มเสิร์ฟโดยใช้เมล็ดคีนัว เมล็ดธัญพืชโปรตีนสูงแทนข้าวโอ๊ต หมี่นำน้ำสลัดเต้าหู้ที่เราโตมากับมันมาดัดแปลงเป็นซอสคลุกกับคีนัว รสชาติจะกลมกล่อมหอมๆ มันๆ เพราะเต้าหู้มันมีความมัน และอร่อยของมันอยู่แล้ว ไม่มีรสหวานเลย เสิร์ฟกับผักเขียวๆ เช่น ปวยเล้ง ซูกินี หรือ คะน้า แล้วแต่ว่าที่ร้านจะมีอะไร ซึ่งผักทั้งหมดมาจากโครงการหลวงเลยทีเดียว

เมนูที่ 4 มูสลี่ แครอท กับ ส้ม (Carrot Orange)

เมนูนี้ต้องลอง ความหวานธรรมชาติของแครอทกับกลิ่นหอมๆ ของส้มรวมตัวได้เป็นอย่างดี ไหนจะสารเบต้าแคโรทีนจากแครอทและวิตามินซีจากส้ม ทำให้นึกถึงขนมสุดโปรดอีกอย่างคือ เค้กแครอท ถือว่าเป็นการนำรสชาติขนมอันนั้นที่มีกลิ่นอายของอบเชย มาดัดแปลงเป็นข้าวโอ๊ตกับธัญพืชต่างๆ จะมีถั่ววอลนัทกับเมล็ดทานตะวันด้วยค่ะ เสิร์ฟเย็นๆ จะสดชื่นมากๆ 

เมนูที่ 5 มูสลี่ ผลไม้เมืองร้อนกับเสาวรส (Tropical Passion)

เมนูมูสลี่นี้เจ้าของร้านบอกว่าดัดแปลงมาจาก Dr.Bircher คุณหมอชาวสวิสที่คิดสูตรอาหารเช้าเพื่อรักษาคนไข้โดยนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับธัญพืชและแอปเปิ้ล Dr.Bircher คือหนึ่งในผู้บุกเบิกรุ่นแรกที่เชื่อว่าอาหารเป็นยาช่วยชีวิต (food as medicine) แต่เนื่องด้วยว่าเราอยู่เมืองไทยเมืองร้อน เราก็ใช้ผลไม้พื้นบ้านอย่างแตงโมหวานฉ่ำกับกลิ่นหอมๆ ตัดรสเปรี้ยวนิดๆ จากเสาวรสโครงการหลวง ถ้วยนี้สีจะออกมาเป็นชมพูหวานๆ โรยหน้าด้วยผลไม้สดที่หมี่จะจัดให้ดูเป็นเหมือนดอกไม้

สุดท้าย เจ้าของร้านย้ำด้วยว่า ชอบจัด topping ที่สุด มัน challenge ความคิดสร้างสรรค์เราดีค่ะ ที่เป็นเทรนด์ตอนนี้คือ ทุก topping จะโรยกันเป็นเส้นตรงๆ สำหรับ Vara's มันแข็งไม่เป็นธรรมชาติ หมี่อยากให้อะไรที่คนเห็นแล้วยิ้ม พอตกแต่งให้เป็นดอกไม้ มันก็เหมือนเราได้รับช่อดอกไม้ ใครจะไม่มีความสุขเวลาเห็นอะไรสวยๆ หมี่จึงเลือกให้ "ดอกไม้" ที่ทานได้ด้วยค่ะ มันคือการเริ่มวันดีๆ สวยๆ ของเรา 

เป็นอีกหนึ่งร้านที่เราเทให้หมดทั้งหัวใจว่าอร่อยแน่นอน

ช่องทางการติดต่อสอบถามได้ที่ FB: VarasPorridge  IG: varasporridge เว็บไซต์ www.varasporridge.com หรือโทรศัพท์ 062-609-7787