หมุนเข็มนาฬิกากลับสู่ยุค “โก๋หลังวัง” การหาร้านข้าวต้มกินช่วงเย็นถึงเช้ามีไม่มาก ที่มีเช่นย่านวัดบวรฯ บางลำพู, ปูดองย่านสวนลุมฯ, ย่านพัฒน์พงษ์ สุรวงศ์, คลองประปา สามเสน...ปี 2523 มีร้านเปิดใหม่ชื่อ “เหลา เหลา” ย่านอารีย์

ร้านนี้เป็นห้องแถวคูหาเดียวขายกับข้าวสูตรแต้จิ๋ว ได้วิชาจากพ่อตามประกอบด้วยเมนูผัดผัก ต้มพะโล้ ปลานึ่งทอดหรือลวกจิ้ม...ปัจจุบันส่งต่อลูก 6 คนเป็นบัณฑิตมหาบัณฑิตทำต่อ โดยเมนเทนฯเป็นตึก 4 ชั้น 3 คูหา ได้ “เปิ้ล” ณัฐชกร ตรงจิตการุณย์ เชฟไทยแลนด์ปี 2557 พี่คนโตบริหารพร้อมน้องๆ มีองุ่น เจี๊ยบ เกด กับเขยสะใภ้...ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึง

วันนี้ 43 ปีแล้ว และต้องปังสุดขีดเมื่อต้นปี ลิซ่า แบล็กพิ้งค์ บินมาทัวร์คอนเสิร์ต ณ สนามกีฬาแห่งชาติ พอจบการแสดงคืนนั้นน้องมีไทม์ไลน์ไปกินข้าวต้มต่อที่เหลา เหลา แบบส่วนตัว

...ช่างน่ารักน่าสนใจใคร่ติดตามจริงๆ จึงแอบเขียนไทม์ไลน์ให้ตัวเองไว้สักระยะหนึ่งแล้ว...สักวันต้องไปชิมเมนูเดียวกับซุปตาร์ระดับโลกนางนี้ให้จงได้

...

“คืนนั้นมีคนโทร.มาจองโต๊ะคณะใหญ่ 24 คน แต่ไม่บอกว่าเป็นลิซ่า” เปิ้ล ว่า “ถึงเวลามีรถตู้มาจอดทีแรกนึกว่าลูกค้าทั่วไป ที่ไหนได้...สังเกตเห็นอีกทีเป็นหญิงสาวสวมเสื้อขาวนุ่งยีนส์ขาสั้นใส่หมวกแก๊ปสปอร์ต เดินตัวปลิวเข้ามาดูจนแน่ใจ ว้าว! ลิซ่า แบล็กพิ้งค์”

วินาทีนั้นตื่นเต้นปนดีใจ นึกไม่ถึงดาวชื่อก้องโลกดวงนี้จะเลือกมากินข้าวต้มที่ร้าน อยากขอบคุณคนพามาและไม่ขอลืมคืนนั้น...ลิซ่ามากับการ์ดและผู้จัดการชาวเกาหลี 2 คน มาพร้อมแม่กับญาติและเพื่อนๆคนไทย น้องน่ารักอ่อนน้อมอัธยาศัยดียิ้มแย้มแจ่มใสไม่แสดงอาการอ่อนล้าให้เห็น ลูกค้าในร้านทั้งคนไทย จีน เกาหลี ทุกคนหยุดมองอย่างดีใจบอกจำลิซ่าได้เปิ้ล เล่าให้ฟังว่า 12 รายการที่ปกติลูกค้าชอบสั่ง ได้แก่ กุ้งลายเสือผัดพริกเกลือ ยำมะเต็งไข่แดง ปลากะพงนึ่งมะนาว หอยเชลล์เผา แกงจืดเกี้ยมบ๊วยหม้อไฟ หนำเลี๊ยบผัดหมูสับ ปลาดุกฟู กะหล่ำน้ำปลา ปิดท้ายด้วยบัวลอยน้ำขิง น้ำใบเตย และมะม่วงเบาแช่อิ่ม

“ลิซ่ากินเก่งสนุกกับอาหารทุกอย่างโดยเฉพาะมะม่วงนั้นชอบเป็นพิเศษ เพราะไม่เคยกินมาก่อนชอบตรงรสเปรี้ยวอมหวานเนื้อกรอบนุ่ม ...คืนนั้นน้องอยู่ดึกเกือบตีสามถึงกลับ”

เมื่อสบโอกาสสมใจและรับว่า “โอ” หมายถึงเมนูที่วัยรุ่นสมัยใหม่ชิมแล้วบอกเบ๊อะบ๊ะไปต่อได้ โดยจานแรกที่คุณชายเริ่มชิมตามรอยคือ “ปลากะพงนึ่งมะนาว” คัดปลาเป็นสดๆจากตลาดมหาชัยมาเข้าครัว เนื้อจึงหวานนุ่มกลมกล่อมและนอกจากปลาจะมีความสดเป็นทุนอยู่แล้ว ยังได้กลิ่นและรสจากเครื่องปรุงซึ่งมีพริกขี้หนูสวนโขลกปนกระเทียมโรยโปะตัวปลามาอีกที...ซดน้ำไม่ต่างน้ำแกงขลุกขลิกมันเผ็ดร้อนนัวอย่าบอกใครเชียว

เนื้อปลาออกหวานโดยธรรมชาติ เน้นแต่เผ็ดและเปรี้ยวจากมะนาว ย้ำอีกครั้งเนื้อนั้นนุ่มแทบละลายในปากได้กินกับข้าวสวยร้อนๆ แม่เจ้าประคุณเอ๋ย! อร่อยนักแล

ถัดมา “ปูทะเลดอง” ของดีของเด่นที่ลิซ่าไม่มีออเดอร์นั้น ใช้เครื่องปรุงเดียวกับปลากะพงนึ่งมะนาว โดยจะเลือกปูดองน้ำปลาจนได้ที่แช่เย็นเก็บไว้ จากนั้นปรุงด้วยพริกขี้หนูใช้กระเทียมดับคาว เพิ่มรสเปรี้ยวนิดๆจากมะนาวผสมผักชีฝรั่งแต่งหน้าให้มีสีสัน

เมนูถัดไปขอเลือกซิกเนเจอร์ของเหลา เหลา และตามรอยเมนูลิซ่า ได้แก่ “ยำมะเต็งไข่แดง” สูตรนี้เปิ้ลเผยทำมาแต่รุ่นพ่อที่คัดเอาหมู 3 ชั้นมาเป็นวัตถุดิบ จากนั้นทอดจนกรอบก่อนนำมายำจนรสหวานเค็มเปรี้ยวแต่พอดี หั่นหอมใหญ่กับพริกขี้หนูสดตกแต่งหน้าให้ดูน่ากิน

...

คลุกกินได้ทั้งข้าวต้มข้าวสวย หรือจะแกล้มกินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดก็ได้เช่นกัน

แล้วก็มาถึงเมนูที่ลิซ่าถือว่าวิเศษสุดชนิดตักแบบไม่วางมือเลยนั่นก็คือ “กุ้งผัดพริกเกลือ” เป็นกุ้งระนองกับมหาชัยที่มีความมันเนื้อแน่นจากความสมบูรณ์เต็มคาราเบลของทะเลแถบนั้น คุณชายเองยังรู้สึกเลยว่าเนื้อกุ้งเด้งดึ๋งตรงกระพุ้งแก้มราวจังหวะเพลง “ฮาว ยู ไลค์ แดท” ของลิซ่า ขณะรสชาติฉ่ำด้วยเครื่องปรุงมีพริกกระเทียมมะนาวชูโรง และน้ำปลาที่ช่วยให้รสชาติลงตัวพอดิบพอดี

อีกจานเป็นเอกลักษณ์ประจำร้านข้าวต้มเหลา เหลา ใครมาเป็นสั่งประดับโต๊ะรวมทั้งโต๊ะลิซ่าก็มีเมนูนี้อยู่ด้วย นั่นคือ “หนำเลี๊ยบผัดหมูสับ” ที่นี่เป็นเจ้าของสูตรตำนานผัดหนำเลี๊ยบชนิดแห้งสนิทไม่ติดอุ้มน้ำมัน

เขาว่าต่างกับแหล่งอื่นๆที่ผัดเยิ้มมันย่องไม่น่ากิน ทำให้หนำเลี๊ยบเจ้านี้เหมาะคลุกกิน กับข้าวสวยและข้าวต้มร้อนๆ...ผ่านไปได้อย่างลงตัวอีกเมนูหนึ่ง

 นอกจากบนโต๊ะอาหารลิซ่ามื้อนี้ยังมีเมนูไทยสไตล์แต้จิ๋วประเภท “แกงจืดเกี้ยมบ๊วยหม้อไฟ” “ผักบุ้งผัดพริก” และ “กะหล่ำน้ำปลา” ซึ่งขิงโชว์เป็นของดีของเด่นประจำร้าน ถึงตรงนี้คุณชายขอเทพุ่งตรงไปที่เมนูของหวาน “บัวลอยน้ำขิง” กับ “น้ำใบเตย” ที่ลิซ่าสั่งมาชิมแต่โฟกัสที่ “มะม่วงเบาแช่อิ่ม” สงขลาแทน

...

ซึ่งอยากบอกดังๆเลยว่า...เหลา เหลา ลงมือดองเองไม่ใส่สารกันบูด และเป็นที่ถูกปากลิซ่าตรงรสหวานอมเปรี้ยวเนื้อกรอบนุ่มอร่อยนี่แหละ...จะกินเป็นมะม่วงลอยแก้วปนน้ำแข็งก็ได้

“มะม่วงเบาแช่อิ่มมีให้กินตลอดปียกเว้นช่วงกลางปี 1 เดือน มะม่วงเบานอกฤดูขาดตลาดต้องใช้มะม่วงแก้วแทน มีผลิตภัณฑ์บรรจุขวดให้หิ้วกลับบ้านได้ขายกระปุกละ 180 บาท ส่วนลูกค้าที่ขับรถมาสามารถเข้าจอดได้ที่ตึกไอบีเอ็มอยู่เยื้องกับร้านราคาเหมาจ่าย 50 บาท”

สำหรับ “มันนี่” แฮะ!แฮะ! ที่ต้องจ่ายค่าอาหารตามลิซ่าออเดอร์ แต่ละจานเริ่มต้นที่หลักร้อยเหมาะกับเอฟซีทุกคนที่สนใจ โทร.ไปได้ที่ 0–2271–4260, 08–6626–8614 และถ้าเอา “มันนี่” เพลงดังทะลุโลกของลิซ่า แบล็กพิ้งค์ ปี 2564 ไปใส่หูฟังด้วย...รับรองต้องคิดถึงน้องไปอีกนาน.

...

คุณชาย 1

คลิกอ่านคอลัมน์ "คุณชาย ตะลอนชิม" เพิ่มเติม