คนหนุ่มสาวเข้าวัยเบบี้บูมเมอร์ พ.ศ.นี้ ย่อมรู้จักย่านเสาชิงช้ากับหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถนนดินสอ ดีว่าคือแหล่งของกินชั้นนำ สมัยนั้น พอตกตอนกลางคืน...เป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่รวมตัวของนักเที่ยว ซึ่งแอ่นระแน้มาจากบาร์ชื่อดังถนนราชดำเนินกลาง
ถึงสมัยนี้...สังคมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ข้าวต้มโต้รุ่งเปิดทางให้ร้านกาแฟคาเฟ่ฝรั่งจ๋ามาเติมเต็มแทน...แต่มีร้านคูหาเดียวเหลืออยู่แบบประตูบานเฟี้ยมพับเก็บสไตล์จีน โดยยืนหยัดสร้างตำนานกว่า 82 ปี โดยไม่ยอมหายหน้าไปไหนนั่นคือ “ร้านมิตรโกหย่วน”
“คุณชาย 1” พอจะรู้ที่มาที่ไปอยู่บ้าง “มิตรโกหย่วน” โดย “โก” หมายถึง “พี่” และ “หย่วน” คือชื่อเล่นนายชัยตรี หาญจีระปัญญา ลูกชาย “นายฮง แซ่ห่าน” ผู้บุกเบิกต้นตำรับหมี่กรอบ สตูลิ้น สลัดเนื้อ
...
ลูกค้านิยมเรียก “โกหย่วน” มากกว่าชื่อจริงกันเรื่อยมา อีกอย่าง...มื้อกลางวันถ้าไม่จองก็ต้องรอเล่นเก้าอี้ดนตรี เพราะทั้งร้านมี 7 โต๊ะ บางโต๊ะนั่งรากงอก เลิกอีกทีช่วงเย็นหรือปิดร้านค่อนดึก...
ปัจจุบันผลัดใบสู่รุ่น 3 ได้ “เจี๊ยบ” หรือเสกสรรลูกสุดท้องใน 5 คนรับไม้ต่อ จากเคยช่วยพ่อเสิร์ฟครั้งเรียนมัธยม ช่วยแม่ทำครัวคราวเรียนมหาวิทยาลัย...จบแล้วเป็นเซลส์ขายรถกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่พักหนึ่ง พอพ่อแม่ไม่อยู่แล้วก็ทำแทนโดยเก็บบรรยากาศเดิมๆ โต๊ะ 7 ตัวไว้ด้านหน้าขยายห้องแอร์ ด้านหลังเพิ่มโต๊ะอีก 7 ตัว
ที่สำคัญ...แม่ครัวมือขวาของแม่อยู่ที่นี่ไม่ไปไหน...รักษาสูตรอาหารคงเดิมไว้ทุกอย่างถึงวันนี้
เอาละครับใครมาที่นี่เป็นต้องสั่ง...เริ่มสตาร์ตที่ “หมี่กรอบ” ซึ่งดูดี๊ดีโรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าแดงชวนกิน ผักกุยช่ายแซมพร้อมถั่วงอกสดชวนลิ้ม มะนาววางไว้แต่งรสครึ่งเสี้ยว มีกระเทียมดองผัดรวมน่ารับประทาน
เส้นหมี่...อื้อฮือ ช่างนุ่มละมุนปนกรอบยามขบเคี้ยว เจี๊ยบอธิบายเคล็ดลับให้ใส่หมี่ขณะน้ำมันร้อนหยอดหมี่ดูสองสามเส้นถ้าฟูได้ที่ค่อยใส่ทั้งแผง เสร็จแล้วเอาขึ้นมาผัดกับเครื่องปรุงมีหมูสับ น้ำซุปหมูในสต๊อกผ่านการต้มกับหัวไชเท้านาน 5-6 ชั่วโมง ตามด้วยซอสแดง พริกป่น น้ำตาลผัดให้เส้นอมหวานแล้วแต่งหน้าด้วยผัก
เท่านี้...ก็ได้หมี่กรอบทรงเครื่องเหมือนออกจากห้องเครื่องต้นชาววัง รสหวานกรอบอมเปรี้ยว กลิ่นกระเทียมดองนิดๆ ติดปลายจวักออเจ้า...
“อากงสอนลูกหลาน...เมนูนี้เป็นลูกผสมจากกุ๊กไหหลำประจำห้องเครื่องชาววัง สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเปลี่ยนจากโต๊ะเสวยสู่สำรับคนในวังหลวง แล้วขยับถึงโต๊ะสามัญชนในที่สุด”
ผ่านหนึ่ง...ถึงสอง “สตูลิ้น” มีให้เลือกลิ้นวัวกับลิ้นหมูตามใจชอบ เมนูนี้ก็อีกนั่นแหละ...พัฒนามาจากกุ๊กไหหลำทำให้เหล่าขุนนางกินมาก่อนความ อร่อยอยู่ที่น้ำซุปสต๊อกเจือรสมันจากลิ้นที่คายน้ำ เติมด้วยซอสแดงมะเขือเทศ เหยาะพริกไทยเรียกเผ็ดและหอมพองาม
ผักที่ใส่แลดู “หล่อ” มีหอมใหญ่ มะเขือเทศหั่นเป็นชิ้นๆ เป็นจานเอกระดับห้องแถวคูหาเดียว แต่คุณภาพอิอิ ขึ้นชั้นภัตตาคารหรู...ด้วยลิ้นเนื้อหรือหมูที่พอดีคำนั้นนุ้มนุ่ม ชุ่มด้วยน้ำซุปผสมเกรวี่หอมกลมกล่อมชวนซด ได้ผักและถั่วลันเตาที่ผัดรวมอีกต่างหาก...โอ๊ย! มันช่างเด็ดสะระตี่จริงๆ
...
ผ่านไปสอง...ถึงคิวจานสาม “สลัดเนื้อสัน” นี่ก็มีทั้งเนื้อและหมู...คุณชายเลือกเนื้อสับละเอียดโชยกลิ่นเย้ายวนกวนจมูกไม่ปาน คำแรกที่ป้อนใส่ปาก ว้าว! ช่างไม่ธรรมดาสไตล์ครัวฝรั่งเศสเอาเสียเลย
“เนื้อสับแล้วต้องโรยด้วยเกลือก่อน” ไหหลำรุ่น 3 เผยสูตรลูกผสม “จากนั้นใช้แป้งมันทาให้เนื้อกรอบนิดหน่อย แล้วยกทั้งแผงลงทอดในน้ำมันเอ่อกระทะ
จำไว้นะ...น้ำมันต้องท่วมรอให้เนื้อสุกมันจะลอยขึ้นมาเอง เป็นทริกให้เนื้อนุ่มน่าเคี้ยว พอได้เนื้อก็ราดครีมสลัดน้ำใสลงไป”
ครีมที่ว่าได้จากตำราอากงซึ่งคิดขึ้นเอง ประกอบด้วยน้ำตาล นม น้ำมันพืช น้ำมะนาว ไข่ไก่เลือกเอาเฉพาะไข่แดงมาตีรวมกับน้ำตาลจนละลาย...เป็นเสร็จกระบวนการ เวลาเสิร์ฟมีกะหล่ำปลีสดซอย พร้อมผักชีฝรั่ง มะเขือเทศ...แค่ 3 เมนูที่คุณชาย แนะนำก็คิดว่าน่าจะพุงกางกันแล้วแหละครับ
นาทีนี้ลองโฟกัสร้าน “มิตรโกหย่วน” กันดูสักนิด ถึงเถ้าแก่รุ่น 2 จะไม่อยู่แล้ว แต่ก็ได้ทายาทรุ่น 3 ขยับขึ้นมาแทนที่...แต่รุ่น 4 ก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะ “มี” หรือ “ไม่มี” ตอบไม่ได้...เพราะวันนี้ยังเล็กอยู่
...
อย่างไรก็ตาม...เมนูนั้นยังมีให้เลือกอีกเหลือเฟืออย่าง “ปลากะพงผัดฉ่า” ของดีของเด็ดอยู่ที่เป็นปลาน้ำลึกตัวยาวร่วมเมตร เนื้อหนาแล้วแน่นและเหนียวหนึบหนับ พอได้ผัดกับเครื่องทั้งกระชาย โหระพา ให้ออกเค็มนิดๆ เพื่อกินกับข้าวสวยร้อนๆ แหม...มันอร่อยอย่าบอกใครเชียวนะ?
แนะนำอีกอย่าง “ต้มยำกุ้งน้ำใส” จัดให้เฉพาะกุ้งแม่น้ำแท้จากแม่น้ำท่าจีน มหาชัย หรือบางปะกง แปดริ้ว มีเจ้าประจำส่งให้ตั้งแต่รุ่นพ่อ ทีเด็ดกุ้งกินได้ทั้งตัวซดกับน้ำต้มยำรสจัดจ้าน ทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม ผสมความมันจากมันกุ้งตรงส่วนหัว สุดแสนจะฟินเว่อร์เกินกำลัง ถึงตรงนี้ก็มาดูราคาขายกันบ้าง...
เห็นเขียนใส่กรอบแปะไว้ข้างฝาบอก เมื่อปี 2509 หรือ 56 ปีผ่านมาเคยขายจานละ 10 บาท...สมัยน้ำสีขวดละบาท ปัจจุบันปรับตามกลไกตลาดเป็นจานละ 120 บาทโดยเฉลี่ย
ที่สำคัญ...เวลาเรียกเช็กบิลอย่าตกใจถ้าเจ้าของร้านบอก “ห้าหมื่น” นั่นหมายถึง “ห้าร้อย” ตามสไตล์ “มิตรโกหย่วน”...
...
ประตูร้านบานเฟี้ยม “มิตรโกหย่วน” เปิดบริการทุกวัน 11 โมงเช้าถึงบ่าย 2 เปิดอีกที 4 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม...หยุดเดือนละครั้งส่วนวันไหนไม่แน่นอน...สนใจถามและจองโต๊ะได้ที่เบอร์ 09-2434-9996
ข่าวดี...ข่าวล่า ลูกค้าเดี๋ยวนี้เป็นครอบครัวไทย ต่างชาติไม่ค่อยมีให้เห็นและไม่ต้องรอโต๊ะเหมือนแต่ก่อน เพราะพวกแอลกอฮอลิซึมนั่งจนรากงอก...สูญพันธุ์หมดแล้วจ้า!
คุณชาย 1