แรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นยุค 70s ตั้งแต่ Lauren Hutton ไปจนถึง Farah Fawcett ซึ่งเป็นการรวบรวมความทันสมัยและความหรูหราแบบมินิมอลลิซึม เผยถึงความเป็นผู้หญิงและความสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ
สำหรับคอลเลกชั่นนี้ใช้โทนสีตั้งแต่ สีเหลืองอำพัน (amber) สีน้ำตาลอ่อน (camel) สีน้ำตาลไล่ไปจนถึงโทนสีน้ำตาลอิฐ สีของหนังเคลือบเงา ให้ลุคสง่างามแบบทหารโดยการใช้สีกากี (Khaki) สีเทาผสมและสีเทาอมน้ำเงินเข้ม (slate) ในขณะที่สีชมพู และสีเขียวพิสตาชิโอ (pistachio) สีเหลืองอมส้ม (saffron) และสีเขียวมินต์ (mint) ชวนให้นึกถึงป่าฝนในเขตร้อน
เลือกใช้วัสดุที่มีความหนาและกระชับ การใช้ผ้าแบบ double-fabric และการใช้ซิลูเอ็ทที่มีโครงสร้างแบบใหม่ๆ เพิ่มความ
โดดเด่นโดยการนำเอาหนังสัตว์และขนเฟอร์มาตกแต่งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ผ้าเครป ผ้าซาติน และ ผ้าชิฟฟอน ช่วยทำให้ซิลูเอ็ทดูนุ่มนวลและมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น หนังอัลปาก้า ผ้าวูลจาก Shetland ผ้าวูลขนแกะแบบบิดเป็นเกลียวและแบบทอ เสื้อผ้านิตแวร์ สร้างสรรค์โดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญและมีรายละเอียดที่ประณีตชัดเจน
เสื้อโค้ททำด้วยผ้าเนื้อหนัก เสื้อแจ็กเกตแบบสั่งตัดให้ความรู้สึกเหมือนชุดยูนิฟอร์ม กางเกงขาบานหรือทรงเข้ารูปเน้นการตัดเย็บที่คมและประณีตเรียบร้อย เป็นทรงที่ได้รากฐานมาจากยุค 70s ชุดเดรสสง่างามด้วยการแต่งรายละเอียดที่เอว เสื้อสตรีเน้นความพลิ้วไหวและสละสลวย กระโปรงมีให้เลือกทุกแบบ เช่น ความยาวระดับเข่า แบบจับพลีท แบบประดับกระดุม กระโปรงแบบป้าย ซึ่งสามารถเติมเต็มความหรูหรา และเลือกใส่ได้ในวาระโอกาสที่แตกต่างกันไป
...
NEC-COUTURE
Cristobal Balenciaga และ Courreges ปฏิวัติเสื้อผ้า ส่วน Pierre Paulin และ Oscar Niemeyer ออกแบบ และสร้างโครงสร้าง เป็นดีไซน์แห่งยุด 60s และการเดินทางสู่อนาคต ลายเส้นที่ประณีต การเล่นวอลุ่มรูปแบบใหม่ แขนเสื้อเป็นแนวโค้งอย่างสม่ำเสมอ สไตล์แบบ Neo-couture นี้จะพาเราไปสู่ความสง่างามแห่งอนาคต
ใช้โทนสีคลาสสิกอย่าง สีดำ สีขาว และสีเทา (heathery grey) สร้างความตื่นเต้นโดยการใช้สีจัดจ้านอย่าง สีเหลือง สีฟ้า สีแดง และสีชมพูฟูเซีย (fuchsia) โทนสีที่เข้ากันได้ดีอย่างโทนสีพาสเทลและโทนสีฝุ่น สร้างความนุ่มนวลและความละเอียดอ่อนให้กับ
คอลเลกชั่น
AFTER THE RAIN
ความสดใสและการเบ่งบานของดอกไม้นั้นจะปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดทุกครั้งหลังจากฝนตกที่กรุงลอนดอน ด้วยลักษณะพิเศษและความมีเอกลักษณ์ ธีมนี้สร้างความอ่อนโยนและความเป็นผู้หญิงให้กับคอลเลกชั่น โดยการใช้โทนสีอ่อนๆ และโทนสีดอกไม้ เช่น
สีชมพู สีเขียวอ่อน สีครีม สีส้ม สีฟ้า ซึ่งมีเสื้อโค้ทและเสื้อกันลมเป็นทรงกลมและมีวอลุ่ม พิมพ์ลายดอกไม้และลายหัวใจ มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่แบบโอเวอร์ไซส์
ผ้าแบบใส่ได้ 2 ด้าน มีลักษณะคล้ายโฟมและมีลักษณะเฉพาะ ดีไซน์เป็นทรงสี่เหลี่ยมและแบบกราฟฟิก ลายสก็อตในเฉดสีใหม่และลายแฉก Herringbone เสื้อผ้านิตแวร์ ผ้าถักแบบอินทาร์เซีย และ วอลุ่มลักษณะคล้ายกล่อง
LONDON CALLING
ธีมนี้จะนำเสนอความขี้เล่น ความมีชีวิตชีวา และการแหกกฎซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงลอนดอนใน
ยุค 70s และธีมนี้ยังให้อารมณ์แบบคนเมืองมากขึ้น มีการผสมผสานระหว่างหนังสัตว์กับสไตล์แบบทหาร จะเห็นได้จากรายละเอียดบนกระเป๋าเสื้อ มีการพับ การจับพลีท และการเล่นสีแบบทูโทน
สีที่ใช้สะท้อนให้เห็นถึงสวนสไตล์อังกฤษในฤดูหนาว เช่น สีเขียว สีน้ำตาล สีน้ำเงินเข้ม สีไวน์ และสีโคลน เพิ่มความสดใสด้วยสีเขียวพิสตาชิโอ (pistachio) สีครีม และสีสนิม (rust)
มีการใช้วัตถุดิบเฉพาะทางแบบใหม่ เช่น ผ้ากำมะหยี่เทียมเนื้อนุ่ม ผ้าวูลสักหลาด ผ้าแจ็กคาร์ดลายดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์
ผ้าไหมเครป ผ้ากำมะหยี่ และลายพิมพ์ต่างๆ
...
LIKE THE BOYS
เป็นการสร้างสรรค์เสื้อผ้าในรูปแบบใหม่ การใช้เนื้อผ้าแบบใหม่ และการจับคู่ลายพิมพ์ที่ไม่น่าเข้ากันได้ เพื่อให้ได้ลักษณะเหมือนเด็กผู้ชายและมีความแตกต่าง Mademoiselle Tara ชอบนำกฎการขัดแย้งกันในตัวนี้มาใช้
สีน้ำเงินเข้มถูกนำมาใช้แทนที่สีดำในธีมก่อนหน้านี้ เคลิบเคลิ้มไปกับสีเหลืองและสีครีม และใช้สิ่งทอเฉพาะทางเพื่อเพิ่มความหรูหรา รวมไปถึงผ้าไหมพิมพ์ลาย ผ้าสักหลาดที่ทำจากโฟม และ ผ้าคอตตอนเนื้อหยาบ ธีมนี้แสดงให้เห็นถึงการแต่งตัวตามความรู้สึก เช่น ชุดราตรีจับสม็อก เสื้อโค้ทเคลือบเงา และการตกแต่งปกคอเสื้อด้วยอัญมณี