Lululemon แบรนด์แฟชั่นชุดออกกำลังกายสัญชาติแคนาดาที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ตั้งเป้าเรื่องความยั่งยืนไว้อย่างชัดเจนทั้งเรื่องการใช้วัสดุที่ยั่งยืนไปจนถึงการสร้างความหมุนเวียน (Circularity) ให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2573
อุตสาหกรรมแฟชั่น เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบให้กับสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับต้นๆ จากรายงานจากธนาคารโลกในปี 2562 เผยว่าอุตสาหกรรมนี้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 10 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก ซึ่งมากกว่าเที่ยวบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางทะเลทั้งหมดรวมกัน และข้อมูลจาก McKinsey & Co. เผยในปี 2561 ว่ายังผลิตก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 2 พันล้านเมตริกตัน หรือประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดทั่วโลก
ด้วยเหตุนี้แบรนด์สินค้าแฟชั่นจำนวนไม่น้อยจึงให้ความใส่ใจในกระบวนการผลิตไปจนถึงการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนของตนเองอย่างจริงจัง ซึ่ง Lululemon แบรนด์ชุดออกกำลังกายชื่อดังจากแคนาดาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าการใช้วัสดุเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการสร้างความหมุนเวียน (Cirularity) ให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 7 ปีข้างหน้า
...
“เรื่องความยั่งยืนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ โดยเรามี 3 เรื่องด้วยกัน อย่างแรกคือร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ที่เป็นบริษัทวัสดุเพื่อความยั่งยืน สร้างสรรค์ Plant Base ซึ่งเป็นผ้าที่ทำจากพืชเพื่อนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ของเรา อย่างที่สองคือการนำผ้าไปย่อยสลายจนเกิดเป็นโมเลกุลแล้วนำมาทำใหม่ และอย่างที่สามคือการนำผ้ากลับมาใช้ใหม่ให้เป็น Net Zero ไม่ให้มีผ้าเหลือทิ้ง ซึ่งนี่เป็นขั้นตอนการพัฒนาที่เรายังพูดคุยกับพาร์ตเนอร์เพื่อดูแลในส่วนของความยั่งยืน” แกเร็ธ โป๊ป รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Lululemon กล่าวกับทีมไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์
ข้อมูลจากเว็บไซต์ CBS News เผยว่าเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Lululemon ได้ร่วมมือกับ Genomatica บริษัทวัสดุเพื่อความยั่งยืน พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพที่เปลี่ยนส่วนผสมจากพืชมาเป็นส่วนประกอบหลักเพื่อผลิตเป็นเส้นใยไนลอนจาก Plant Based ที่จะนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Lululemon
เนื่องจากไนลอนมีส่วนประกอบของปิโตรเลียมจากถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน ซึ่งเส้นใยไนลอนจาก Plant Based ของ Lululemon จะช่วยลดผลกระทบในส่วนนี้ได้
โดยเปิดตัวเสื้อทีเชิ้ตที่ผลิตขึ้นจากไนลอน Plant Based เป็นครั้งแรก ในชื่อรุ่น "Nylon Metal Vent" สำหรับผู้ชาย และ "Swiftly Tech Short Sleeve" สำหรับผู้หญิง โดยมีส่วนประกอบจากไนลอน Plant Based 50 เปอร์เซ็นต์ โพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 40 เปอร์เซ็นต์ อีลาสเทน 3 เปอร์เซ็นต์ และส่วนประกอบอีลาสเทนที่ทำจากพืชอีก 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งวางจำหน่ายในราคาเท่ากับสินค้าปกติทั่วไปของ Lululemon
...
นอกจากนี้ Lululemon ยังตั้งเป้าให้ภายในปี 2568 สามารถผลิตวัสดุที่สร้างความยั่งยืนในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ให้ได้อย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรวมถึงการใช้เส้นใยที่นำกลับมาใช้ใหม่ การใช้สิ่งทดแทน พร้อมทั้งใช้กระบวนการผลิตที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
จากข้อมูลในเว็บไซต์ของ Lululemon เผยถึงเป้าหมายด้านความยั่งยืนว่า โพลีเอสเตอร์อย่างน้อย 75 เปอร์เซ็นต์ ที่นำมาใช้จะถูกรีไซเคิล โดยตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2568 พร้อมทั้งผลิตโพลีเอสเตอร์จากพลาสติกที่ใช้แล้ว เช่น ขวดน้ำที่ใช้แล้ว แทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
...
พร้อมทั้งเปลี่ยนการใช้ไนลอนให้เป็นวัสดุหมุนเวียน หรือรีไซเคิล ภายในปี 2573 และตั้งเป้าหาทางเลือกอื่นทดแทนภายในปี 2568 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ Lululemon มีผ้าไนลอนเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งมีประสิทธิภาพการใช้งานสูง มีความทนทาน ระบายความชื้นได้ดี และให้สัมผัสที่นุ่มนวล สวมใส่สบาย ซึ่งการรีไซเคิลไนลอนจะทำให้อายุการใช้งานสั้นลงกว่าเดิม แต่ก็เป็นความท้าทายที่แบรนด์ต้องเผชิญหน้าเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการ
ในส่วนของผ้าฝ้าย Lululemon ตั้งเป้าการจัดหาฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์จากแหล่งที่ยั่งยืนภายในปี 2568 ซึ่งหมายการปรับปรุงแนวทางการทำฟาร์มรวมถึงสุขภาพของดินและการใช้น้ำ เพื่อให้ได้ฝ้ายที่ยั่งยืนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ในปี 2561 เส้นใยเซลลูโลสจากป่าของแบรนด์ทั้งหมดจัดหามาอย่างมีความรับผิดชอบ ผ่านการประเมินผ่าน CanopyStyle Audits และกำลังเปลี่ยนเสื่อโยคะของ Lululemon ทั้งหมดเป็นยางธรรมชาติซึ่งมีแหล่งที่มาอย่างยั่งยืนและได้รับการรับรองจาก Forest Stewardship Council® (FSC)
...
ภายในปี 2568 Lululemon ตั้งเป้าลดการใช้น้ำจืดโดยเฉลี่ยลง 50 เปอร์เซ็นต์ ในการผลิตสินค้า พร้อมทั้งตรวจสอบให้แน่ใจว่าแบรนด์ไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดความเครียดในลุ่มน้ำทั่วโลก พร้อมทั้งพยายามทำให้การผลิตของแบรนด์มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้นวัตกรรมในกระบวนการผลิตต่างๆ เช่น สารละลายสีย้อมสำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์ไนลอนที่ซับซ้อนมากขึ้น
สิ่งที่ Lululemon ตั้งเป้าในเรื่องของความยั่งยืนคือการมุ่งมั่นพัฒนาวัสดุที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และมีความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรวัสดุธรรมชาติอันมีค่า ทั้งหมดนี้ถูกนำมาใช้ในทุกแง่มุมของการออกแบบและกระบวนการผลิตของแบรนด์
Lululemon ก่อตั้งขึ้นในปี 2541 ในเมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ปัจจุบันมีสาขามากกว่า 650 แห่งทั่วโลก ในปี 2557 ได้ก้าวเข้าสู่ตลาดเอเชีย โดยเปิดสาขาแรกในประเทศสิงคโปร์ และด้วยการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จึงได้เปิดตัวสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
“เรามองตลาดไทยมาเป็นเวลา 3-4 ปีแล้ว สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจมาทำตลาดในไทยก็คือคนไทยที่สนใจเรื่องการออกกำลังกายมีอัตราการเติบโตสูง เรียกว่า Sweat Community เป็นสังคมที่ชอบเสียเหงื่อให้กับการออกกำลังกาย ขณะเดียวกันคนไทยก็ชอบหาสมดุลและชื่นชอบเรื่องสุขภาพ นอกจากนี้ คนไทยสนใจทั้งเรื่องการออกกำลังกายและใส่ใจเรื่องภายในจิตใจ เช่น การทำสมาธิ และโยคะ และประเทศไทยยังเป็นสังคม Wellbeing ที่เน้นสุขภาพ มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ นี่คือประเด็นหลักที่ทำให้เราสนใจมาทำตลาดในไทย” แกเร็ธ กล่าว
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ Lululemon ในไทยคือคนรักสุขภาพ อายุ 20-50 ปี ไม่จำกัดเพศ เป็นคนที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และตอบสนองประสิทธิภาพของการออกกำลังกาย ทำให้คุณภาพชีวิตการออกกำลังกายดีขึ้น
“Lululemon ตอบโจทย์การเคลื่อนไหวของร่างกาย เราให้ความสำคัญกับรายละเอียดในการออกแบบ ผนวกรวมประโยชน์ด้านการใช้งานและความโดดเด่นด้านแฟชั่นเข้าด้วยกัน รวมถึงเลือกใช้ผ้าคุณภาพสูง เหมาะสำหรับกีฬาที่ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและกิจกรรมเรียกเหงื่ออื่นๆ อีกมากมาย อาทิ โยคะ วิ่ง หรือเทรนนิ่ง แนวทางที่มีมนุษย์เป็นหัวใจของเราหมายความว่า เราจะรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ เรามั่นใจว่าจะมาช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานได้”
ภาพ : Lululemon