งานใหญ่ระดับจังหวัดงานหนึ่ง และต่อมาได้กลายเป็นงานใหญ่ระดับชาติ และมาถึงวันนี้อาจจะเป็นระดับโลกแล้วก็ได้...ได้แก่งาน “ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก” ประจำปีต่างๆนั่นเอง
สำหรับปี 2566 นี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด พระนครศรีอยุธยา นิวัฒน์ รุ่งสาคร ได้จัดแถลงข่าวไปเมื่อต้นเดือนธันวาคมว่าจะจัดงานขึ้นในระหว่างวันที่ 15-24 ธันวาคม พร้อมทั้งแถลง รายละเอียดต่างๆเอาไว้ครบถ้วน
ทีมงานซอกแซกตั้งใจจะนำลงตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ติดที่จะต้องเขียนเชิญชวนไปดูชมการประดับไฟฟ้าสวยงามตระการตาต้อนรับปีใหม่ 2567 ตามจุดต่างๆของ กทม. ที่วางคิวเอาไว้ก่อน จึงขยับมาลงในสัปดาห์นี้แทน
แต่นี่เพิ่งจะวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม และ งานเพิ่งจะผ่านไป 2 วันเท่านั้น ยังเหลืออีกถึง 8 วันเต็มๆ เพราะงานจะหมดวันอาทิตย์หน้า 24 ธันวาคม ท่านที่สนใจน่าจะมีเวลาจัดคิวให้แก่ ตัวเองไปเที่ยวงานนี้ได้ทันกาลอย่างแน่นอน
ในการแถลงข่าวของท่านผู้ว่าฯเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีการกล่าวย้อนไปถึงปี พ.ศ.2534 ที่องค์การยูเนสโกในการประชุมที่กรุงคาเธจ ประเทศตูนิเซีย ในวันที่ 13 ธันวาคมปี ดังกล่าวได้มีมติให้ประกาศขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ประเทศไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรม นำความภาคภูมิใจ
มาสู่ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะพี่น้องชาว จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นในปี ต่อๆมา และส่วนใหญ่ก็จะจัดในเดือนธันวาคม เพื่อให้ใกล้เคียงกับวันที่ 13 ธันวาคม 2534 ซึ่ง เป็นวันลงมติของยูเนสโก
ปีนี้เริ่มขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม ก็ถือว่าไม่ห่างไกลไปจากวันประกาศผลมากนัก
หัวหน้าทีมซอกแซกจำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่าเคยไปร่วมงานเฉลิมฉลองมาครั้งหนึ่งประมาณ พ.ศ.2540 หรือ 2541 ในเดือนธันวาคมเช่นกัน
...
จึงลองไปค้นสมุดบันทึกเล่มเล็กๆที่ยุค โน้นหัวหน้าทีมชอบซื้อมาจดเวลาเดินทางไปโน่นนี่ และยังเก็บไว้กองโตที่บ้านทุกวันนี้...ปรากฏว่าเป็นปี พ.ศ.2540 ครับ
ระหว่าง 15-21 ธันวาคม 2540 ได้มีการ จัดงานขึ้น โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เป็นแกนหลักร่วมกับกรมศิลปากร และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในชื่องาน “อยุธยายศยิ่งฟ้า” น่าจะมีเพียงการแสดง แสง สี เสียง ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเท่านั้น เท่าที่จดบันทึกสั้นๆเอาไว้
แต่เพียงแค่นั้นก็ตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
ได้รับเสียงปรบมือยาวนานเมื่อการแสดงจบลง และหัวหน้าทีมได้นำมาเขียนแสดงความชื่นชมไว้ด้วยหากไม่ใช่ใน คอลัมน์ซอกแซก ก็คงคอลัมน์ “เหะหะพาที” คอลัมน์ใดคอลัมน์หนึ่ง
จาก พ.ศ.2540 มาถึงปีนี้ 2566...ก็ปาเข้าไป 26 ปี แล้ว ยังจดจำความตื่นตาตื่นใจ และ เสียงปรบมือชื่นชมได้ก็ต้องถือว่าการแสดงครั้งนั้นต้องประทับใจหัวหน้าทีมซอกแซกอย่างถ่องแท้แน่นอน
แถมยังจำได้ด้วยว่าแถลงข่าวจนทำให้คนกรุงเทพฯอยากไปดูจำนวนมาก (กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของคืนนั้น) ก็คือท่านอดีตผู้ว่าฯ ททท. เสรี วังส์ไพจิตร นั่นเอง
จะเห็นได้ว่ายุคโน้นการจัดงานใหญ่งานนี้ หน่วยงานที่เป็นแกนหลักยังเป็น ททท. อยู่ ต่าง กับยุคหลังๆที่ทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเข้ามามีบทบาทในการจัดโดยตรง และได้ผนวกเอางานสำคัญของจังหวัดคือ “งานกาชาด” เข้าไปด้วยดังเช่นในปีนี้ ก็จะมีทั้งงาน ฉลองมรดกโลก และงาน กาชาด ควบคู่กันไป
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะจังหวัดต่างๆ ควรจะมีการพัฒนาและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจนสามารถจัดงานระดับโลกได้ โดยมี ททท.คอยเป็นพี่เลี้ยงให้เท่านั้น
ดังเช่นในปีนี้ในคำประกาศโฆษณาชวนเชิญให้ซื้อบัตรเข้าชมแสง สี เสียง ผ่าน ไทยทิคเก็ต เมเจอร์ ก็เน้นย้ำชัดเจนว่า “จังหวัดพระนครศรี อยุธยา ขอเชิญชวนไปชมการแสดงแสง สี เสียง สุดยิ่งใหญ่ตระการตาและทรงคุณค่าพร้อมรับรู้ย้อนอดีตเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของกรุงศรี อยุธยาราชธานีแห่งที่ 2 ของไทย ที่มีอายุยาวนานถึง 418 ปี เป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมและประวัติ ศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของชนชาติไทย”
จัดงานเอง ขายตั๋วเอง ว่าอย่างนั้นเถิด
สำหรับชื่อเต็มของการแสดงแสง สี เสียงปีนี้อาจจะยาวหน่อย แต่ก็ฟังแล้วขลัง และน่าจะ ถ่ายทอดเรื่องราวของประวัติศาสตร์ความเป็นมา อันยิ่งใหญ่และงาน “ยอยศยิ่งฟ้า อยุธยามรดกโลก” ได้อย่างครบถ้วน
แสดงทั้งสิ้น 14 รอบ วันละ 2 รอบบ้าง 1 รอบบ้าง ณ วัดมหาธาตุอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ราคาบัตร 500 บาท กับ 200 บาท สอบถามรายละเอียดได้เลยครับที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์
ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าในการจัดงานครั้งนี้จะเป็นงาน “กาชาด” ของจังหวัดด้วย จึงมีการ แสดง ณ เวทีกลางด้านหน้าวัดบึงพระราม มีการออกร้านของส่วนข้าราชการ มีการประกวด Miss Ayutthaya, การจำหน่ายสินค้าเกษตรวิถีไทย, ตลาดย้อนยุค, อาหารไทยแบบโบราณ, การไหว้พระยามค่ำคืน, การนั่งรถรางรอบงาน เพื่อความสะดวกในการถ่ายภาพที่ระลึกตามจุดต่างๆ
นอกจากนี้ทางจังหวัดยังขอเชิญชวนร่วม ฟื้นฟูวัฒนธรรมไทย “แต่งชุดไทย” ไปเที่ยวงานนี้ให้เต็มที่...ใครไม่มีไปหาเช่าได้ที่งาน
ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้จันทร์ที่ 18 ธ.ค. 2566 จะเป็นตอนจบของละครสุดฮิตเรื่อง “พรหมลิขิต” ของช่อง 3 พอดิบพอดี
อย่าลืมจัดหาโทรทัศน์จอใหญ่ๆแบบจอหนัง มาตั้งถ่ายทอดสดตามจุดสำคัญของงานด้วยนะครับ ท่านผู้ว่าฯครับ
...
เพื่อให้แฟนๆ “พรหมลิขิต” ไปมีความสุข ณ รอบๆอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา พร้อมๆกับได้ ดูชม EP.26 ที่เป็นตอนจบของเรื่องนี้ ควบคู่ไปด้วย
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...ผมกลัวว่าคืนวันจันทร์คนจะไปเที่ยวงานน้อยลงเท่านั้นเอง... ตามธรรมเนียมของ “คืนจบ” สำหรับละครดัง เรื่องต่างๆที่ถนนมักจะว่าง งานทั้งหลายก็ว่าง เพราะผู้คนจะอยู่บ้านดูทีวีตอนจบ...ถ้าไม่ห่วงเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรครับ ท่านผู้ว่าฯครับ!
“ซูม”