• ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก ถ้าใครจะคิดว่า ‘ดนตรี’ เป็นเพียงสื่อศิลปะที่ควรใช้สำหรับ ‘เยียวยา’ หรือ ‘ปลอบโยน’ จิตใจของผู้ฟัง แต่โปรดอย่าลืมว่า มันยังเป็น ‘อะไร’ ได้อีกหลายๆ อย่าง

  • ดนตรีเป็นการเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ, เป็นการตีแผ่ความเหลื่อมล้ำในสังคม, เป็นการแสดงออกในเรื่องเพศ, เป็นการต่อต้านความรุนแรงและสนับสนุนเสรีภาพทางความคิดเห็น หรือแม้แต่เป็น ‘อาวุธทำลายผู้คน’ ได้ทั้งสิ้น

  • ดังนี้แล้ว ‘ดนตรี’ จึงไม่ได้เป็นเพียง ‘เครื่องมือปลอบประโลมใจอันแสนมักง่าย’ ที่เราใช้หลอกตัวเองและคนอื่นให้มองเห็นแต่ด้านที่สวยงามแค่ชั่วครู่ชั่วยาม จนลืมเหลียวแล ‘ความจริงอันโหดร้าย’ ในแง่มุมอื่นๆ บนโลกที่เราทุกคนยังคงต้องตระหนักและช่วยกันคิดหาทางแก้ไข


ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก ถ้าใครจะคิดว่า ‘ดนตรี’ เป็นเพียงสื่อศิลปะที่ควรใช้สำหรับ ‘เยียวยา’ หรือ ‘ปลอบโยน’ จิตใจของผู้ฟัง เพราะตามที่คนทั่วไปรับรู้รับทราบ ดนตรีคือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการจัดเทศกาลและงานรื่นเริงทั้งหลายบนโลก

แต่โปรดอย่าลืมว่า ดนตรีไม่ได้มีหน้าที่เพียงเท่านั้น หากมันยังเป็น ‘อะไร’ ได้อีกหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะกับการเป็นได้ตั้งแต่ ‘กระบอกเสียง’ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากสังคม หรือแม้กระทั่ง ‘อาวุธ’ ที่ใช้ทำร้ายทำลายฝั่งตรงข้าม โดยที่ศิลปินคนนั้นอาจรู้หรือไม่รู้ตัว

เหล่านี้คือเศษเสี้ยวเล็กจ้อยของตัวอย่างที่ช่วยบอกว่า ‘ดนตรี’ ยังสามารถเป็นอะไรได้อีกบ้าง

...

ดนตรีเป็น ‘การเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ’

ในช่วงยุค 60 ที่สังคมอเมริกันเต็มไปด้วยการแบ่งแยกด้วย ‘สีผิว’ คนผิวดำที่มีเชื้อสายแอฟริกันจึงถูก ‘เลือกปฏิบัติ’ อย่างกว้างขวาง ทั้งการแบ่งโซนที่อยู่อาศัยหรือการทำกิจกรรมในที่สาธารณะ, การเข้าถึงสิทธิพื้นฐานทางสังคม เช่น โอกาสในการได้รับการศึกษา ไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่คร่าชีวิตคนผิวดำ จนไม่ต่างอะไรกับการบี้บด ‘แมลงวัน’ ไร้ค่าสักตัว ดนตรีจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการ ‘ปลอบขวัญ’ อย่างหดหู่ และ ‘ต่อสู้เรียกร้อง’ อย่างแข็งกร้าวไปพร้อมๆ กัน

ตัวอย่าง : นีนา ซีโมน ศิลปินหญิงผิวดำแนวบลูส์/แจ๊ซ เคยแต่งเพลงหลายเพลงเพื่อ ‘ประท้วง’ คนผิวขาวที่แบ่งแยกคนผิวดำในช่วงยุค 60 หลังจากต้องทนพบเจอกับโศกนาฏกรรมการกดขี่ด้านสีผิว-จนถึงขั้นมีผู้คนล้มตาย-มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง Mississippi Goddam (1964) ที่มีเนื้อหาสบถด่าให้คนขาวหยุดความรุนแรงต่อพวกเธอ; Ain’t Got No, I Got Life (1968) ที่ปลุกปลอบให้เพื่อนคนผิวดำจงภูมิใจในเนื้อตัวร่างกายของตน แม้ต้องถูกปฏิบัติราวกับ ‘ไร้ตัวตน’ หรือ Why? (The King of Love Is Dead) (1968) ที่อุทิศให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ผู้ล่วงลับอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่ถูกลอบสังหารด้วยความโหดเหี้ยม

โดยหลังจากที่เธอแต่งเพลงเหล่านี้โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก อีกไม่กี่ปีถัดมา เธอจึงขอลาขาดจากการอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาและโบยบินไปใช้ชีวิตยังประเทศอื่นที่ ‘เห็นเธอเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม’ แทน

ดนตรีเป็น ‘การตีแผ่ความเหลื่อมล้ำในสังคม’

มีเพลงหลายแนวที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความทุกข์ทนของผู้คนบนโลก เพลงแร็ปและฮิปฮอปก็ถือเป็นหนึ่งในแนวทางเหล่านั้น โดยศิลปินผิวดำจำนวนมากใช้แนวเพลงเหล่านี้พูดถึง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ในชีวิตประจำวันที่ตัวเองและครอบครัวได้ประสบด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า ผิดหวัง หรือกระทั่งโกรธเกรี้ยว ทั้งความยากจนข้นแค้น, การโดนดูถูกเหยียดหยาม, การถูกละเลยจากภาครัฐ และการต้องต่อสู้ดิ้นรนที่จะใช้ชีวิตต่อไป แม้ต้องเลือกทางเดินที่หม่นมืดอย่างการค้ายาหรือทำอาชีพผิดกฎหมายอื่นๆ โดยปราศจากหนทางหรือความหวัง เหมือนคนจากชนชั้น ‘สูงกว่า’ ที่รัฐคอยโอบอุ้ม

ตัวอย่าง : วงแร็ป/ฮิปฮอปสัญชาติอเมริกัน เดอะ รูตส์ (The Roots) ออก ‘คอนเซปต์ อัลบั้ม’ (อัลบั้มที่มีเรื่องราวหรือแนวคิดผูกโยงกันทั้งชุด) ที่ชื่อ Undun ในปี 2011 เพื่อเล่าเรื่องราวของตัวละครสมมติอย่าง เรดฟอร์ด สตีเวนส์ หนุ่มผิวดำอายุน้อยที่มีวัฏจักรชีวิตพัวพันอยู่กับความเหลื่อมล้ำ ซึ่งบีบบังคับให้เขาต้องถีบตัวเองออกจากความยากจนด้วยการก้าวสู่ธุรกิจค้ายา โดยแต่ละเพลงของอัลบั้มที่ถูกเรียกเรียงขึ้นอย่างต่อเนื่องและทรงพลังนั้น จะเล่าถึงชีวิตของเขาจากตอนที่ ‘ถูกฆ่าตาย’ เพราะธุรกิจนี้ ย้อนเวลากลับไปจนถึงช่วงวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเดียวดาย จากการถูกสังคมทำร้ายด้วยความคาดหวังต่างๆ นานา

...

หันกลับมามองในบ้านเรา ก็มีกลุ่มศิลปินที่ใช้เพลงแร็ป/ฮิปฮอปฉายภาพความเหลื่อมล้ำของผู้คนเช่นกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ‘ประเทศกูมี’ (พ.ศ.2561) ของกลุ่ม Rap Against Dictatorship ที่พูดถึงภาพอีกมุมหนึ่งของประเทศไทยที่ไม่ได้สวยงาม และยังคงเต็มไปด้วยปัญหาที่รอการแก้ไขจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะรัฐบาลที่ผู้แต่งมองว่าละเลยการฟังเสียงของประชาชน และไม่เคยลงมือหาทางออกให้บ้านเมืองอย่างจริงจังเสียที

ดนตรีเป็น ‘การแสดงออกในเรื่องเพศ’

เซ็กซ์ เพศสภาพ และรสนิยมทางเพศที่ต่างออกไป เป็นเรื่องที่มนุษย์หลายคนถูก ‘ตัดสิน’ และ ‘กดทับ’ มาแต่ไหนแต่ไร เราจึงเห็นศิลปินจากต่างยุคต่างสมัยจำนวนไม่น้อย ที่ใช้ ‘ดนตรี’ เป็นเครื่องมือในการปลดปล่อยและเรียกร้อง ‘สิทธิทางเพศ’ ของตัวเองกับคนในสังคม ซึ่งหลายครั้งก็บอกเล่าผ่านเนื้อหาเพลงที่ร้อนแรง การแต่งกายที่อวดโชว์เรือนร่าง ไปจนถึงมิวสิกวิดีโอที่ยั่วเย้าเอาล่อเอาเถิดกับ ‘ความเชื่อทางเพศแบบเดิมๆ’ ของผู้คน

ตัวอย่าง : ในปี 1992 ศิลปินเพลงป๊อปชื่อดังอย่าง มาดอนนา เคยออกอัลบั้ม Erotica ที่มีเนื้อหาและท่าทีที่เต็มไปด้วย ‘การแสดงออกทางเพศ’ อย่างหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมและโจ๋งครึ่ม แถมเธอยัง ‘เปลือยกาย’ ถ่ายหนังสือนู้ดส่วนตัวที่ชื่อ Sex ออกมาพร้อมกับอัลบั้มด้วย ซึ่งก็ทำให้สื่อมวลชนและแฟนเพลงในยุคนั้นออกมาวิพากษ์วิจารณ์เธออย่างหนักและถึงขนาดที่คริสตศาสนิกชนออกมาบอยคอต เพราะรู้สึกว่าเธออาจ ‘ถลำลึก’ และ ‘หมกมุ่น’ กับเซ็กซ์เกินไป และนั่นก็สร้างความขับข้องใจให้มาดอนนาเป็นอย่างมาก

...

กระทั่งในปี 1995 เธอจึงตัดสินใจปล่อยซิงเกิลเพลง Human Nature จากอัลบั้มใหม่อย่าง Bedtime Stories (1994) ที่บอกเล่าถึงทัศนคติที่เธอมีต่อเรื่อง ‘เซ็กซ์’ ในสังคม ‘ปากว่าตาขยิบ’ ว่า หลายคนอาจอับอายที่จะพูดเรื่องนี้ แต่เธอไม่เคยสนใจ และคิดว่าเราควรพูดเรื่องนี้กันได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะเซ็กซ์เป็น ‘เรื่องธรรมชาติ’ สำหรับมนุษย์ โดยในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ มาดอนนายังคงแสดงออกด้วยท่าทียั่วยวนเริงร่า และคอสตูมชุดหนังเงาวับที่ขับเน้นเรือนร่างโค้งเว้าแบบไม่แคร์ขี้ปากใครเช่นเคย

หรือจะเป็น จอร์จ ไมเคิล ที่เคยแต่งเพลงและปล่อยมิวสิกวิดีโอที่ชื่อ Outside ออกมาในปี 1998 เพื่อยั่วล้อกับคดีความช่วงต้นปีของตัวเอง เมื่อเขาถูกตำรวจจับหลังจาก ‘กระทำอนาจารในห้องน้ำสาธารณะกับผู้ชายอีกคน’ จนต้องเปิดตัวว่า ‘เป็นเกย์’ กับสื่อ พร้อมแสดงทัศนคติส่วนตัวผ่านเพลงนี้ด้วยว่า รสนิยมทางเพศ-ไม่ว่าจะแบบไหน-ไม่ใช่เรื่อง ‘ผิด’ หากเรายินยอมพร้อมใจ และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

ดนตรีเป็น ‘การต่อต้านความรุนแรงและสนับสนุนเสรีภาพทางความคิดเห็น’

ความเกลียดชังหรือความรุนแรงที่ก่อเกิดมาจาก ‘ความคิดเห็นที่แตกต่าง’ นั้น เป็นเรื่องคลาสสิกที่ปรากฏให้เห็นเรื่อยมาในหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ และเป็นชนวนสำคัญของ ‘สงคราม’ ที่สร้างความสูญเสียน้อยใหญ่เรื่อยมา และถึงแม้ว่าในปัจจุบัน หลายชาติจะยังมีความขัดแย้งที่ใหญ่โตจนพัฒนากลายเป็นสงครามอยู่บ้าง แต่ในประเทศที่ไม่ได้เกิดสงครามขึ้นโดยตรง การปะทะกันของความคิดเห็นที่แตกต่างก็ยังคงเดือดดาลและสร้างความเจ็บปวดให้ผู้คนได้เช่นกัน จนมีศิลปินบางรายเลือกใช้ ‘ดนตรี’ มาแสดงออกถึงประเด็นเปราะบางเหล่านี้ เพื่อยืนยันว่าเราทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด โดยปราศจากการใช้ความรุนแรงต่อกัน

...

ตัวอย่าง : เดอะ ชิกส์ (The Chicks) วงดนตรีหญิงล้วนแนวคันทรีที่ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า ดิกซี ชิกส์ (Dixie Chicks) เคยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนเวทีคอนเสิร์ตปี 2003 เพื่อต่อต้านการส่งทหารบุกอิรักของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้เป็นประธานาธิบดีในสมัยนั้น ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่กำลังเดือดดาลกับผู้ก่อร้าย ‘ชาวมุสลิม’ จากเหตุการณ์ 9/11 จนทำให้แฟนๆ ที่โกรธแค้นออกมายืนเผาซีดีหน้าบ้าน และสถานีวิทยุฝั่งอนุรักษนิยมประกาศแบนผลงานของพวกเธอ

สามปีต่อมา พวกเธอจึงแต่งเพลง Not Ready to Make Nice (2006) เพื่อตอบโต้กับความกราดเกรี้ยวจากผู้คนที่พวกเธอเคยได้รับ โดยเนื้อหาเพลงเป็นการยืนยันในจุดยืนเดิมที่จะไม่สนับสนุนความรุนแรงและการทำสงครามระหว่างเชื้อชาติใดๆ เช่นเดียวกับการต่อต้านความไร้ตรรกะของแฟนๆ คลั่งชาติที่ ‘สอนให้ลูกหลานเกลียดชังคนแปลกหน้า (อย่างพวกเธอ) ที่เห็นต่างจากพวกเขา’ โดยไม่ได้พยายามแลกเปลี่ยนหรือทำความเข้าใจอะไรเลย

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นหนังสารคดี Shut Up and Sing ในปีเดียวกัน (ชื่อเรื่องมาจากท่อนหนึ่งของเนื้อเพลงที่เล่าว่า มีแฟนคลับสั่งให้พวกเธอ “หุบปาก เลิกแสดงความคิดเห็น และร้องเพลงไปเฉยๆ ก็พอ”) และพวกเธอก็ยังสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่มาได้ 3 ตัวจากเพลงดังกล่าวอีกด้วย

และ, ใช่, ดนตรีเป็น ‘อาวุธทำลายผู้คน’

อย่าคิดว่าดนตรีไม่เคยเป็น ‘อาวุธ’ เพราะอันที่จริง มัน ‘เคย’ ถูกใช้เป็นอาวุธทำร้ายทำลายผู้คนมาแล้ว ซึ่งหากไม่นับการ ‘โจมตีกัน’ ผ่านทัศนคติหรือความเชื่อบางอย่างของเพลงบางเพลง เราก็คงเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ดนตรีเคยถูกใช้เป็นอาวุธอย่างเป็น ‘รูปธรรม’ มาแล้วจริงๆ

ตัวอย่าง : เพลงแสนน่ารักน่าชังที่เอาไว้ร้องเล่นตอนเข้าค่ายอย่าง Baby Shark ที่โด่งดังขึ้นมาในโลกโซเชียลฯ จากการนำมาทำใหม่ในสไตล์แดนซ์ของบริษัทเพื่อการเรียนรู้เด็กจากเกาหลีใต้ Pinkfong เมื่อปี 2016 เคยถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือ ‘ทรมาน’ คนฟังมาแล้ว ทั้งในปี 2019 ที่เจ้าหน้าที่รัฐในฟลอริดาที่เปิดเพลงนี้เสียงดังวนเวียนตลอดทั้งคืนเพื่อกลั่นแกล้งคนไร้บ้านแถวนั้นไม่ให้ได้นอนอย่างสงบสุขบนพื้นที่ของรัฐ หรือในปี 2020 ที่เจ้าหน้าที่เรือนจำโอคลาโฮมาใช้เพลงนี้เปิดวนไปมาด้วยเสียงที่ดังมากเป็นเวลานานเพื่อแกล้งทรมานนักโทษ จนพวกเขาถูกดำเนินคดีเนื่องจากเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดังนี้แล้ว ‘ดนตรี’ จึงไม่ได้เป็นเพียง ‘เครื่องมือปลอบประโลมใจอันแสนมักง่าย’ ที่เราใช้หลอกตัวเองและคนอื่นให้มองเห็นแต่ด้านที่สวยงามแค่ชั่วครู่ชั่วยาม จนลืมเหลียวแล ‘ความจริงอันโหดร้าย’ ในแง่มุมอื่นๆ บนโลกที่เราทุกคนยังคงต้องตระหนักและช่วยกันคิดหาทางแก้ไข

และดนตรีก็ยังสามารถกลายเป็น ‘อาวุธ’ ที่ทำให้ศิลปินและผู้ฟังเองต้อง ‘ดับดิ้น’ ใน ‘ความเป็นมนุษย์’ ได้ด้วยเช่นกัน หากเรายังไม่ตระหนักถึง ‘อานุภาพ’ ทั้งด้านดีและร้ายของสื่อศิลปะชนิดดังกล่าวให้รอบด้านกว่านี้


อ้างอิง: Film Club, Wikipedia (1, 2, 3, 4, 5)